ธรรมมะ ย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สังโยชน์ 10 บทส่งท้ายภาคโลกุตตระ

คนเรา ถ้าบาปหนา จิตหยาบ-ก็จะมองไม่เห็น"ความผิดของตนเอง"!!!
สังโยชน์ 10-กิเลสที่เหนี่ยวร้อยรัดให้ตกอยู่ในวัฏฏะ.....
1.สักกายทิฏฐิ-ความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน คือ ยึดขันธ์ 5 รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ที่สรุปลงเป็น "รูป-นาม" ล้วนมี"ตัวตน"เป็นของเรา
2.วิจิกิจฉา-ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ ในคุณพระรัตนตรัย ว่าจะนำพาตนให้พ้นทุกข์
3.สีลัพพตปรามาส-การถือมั่นศีลพรต อย่างไม่จริงจังเคร่งครัด โดยสักแต่ว่า ทำตามกันไปอย่างงมงาย
4.กามฉันทะ-ความกำหนัดหมกมุ่น ติดอกติดใจในกาม
5.ปฏิฆะ-การกระทบกระทั่งแห่งจิต ได้แก่ ความหงุดหงิด ด้วยอำนาจโทสะ ความคับแค้น ความขึ้งเครียด ซึ่งเป็นอารมณ์ผูกโกรธ ที่จะจองล้างจองผลาญกันต่อไปไม่สิ้นสุด
6.รูปราคะ-ความติดใจ ยึดมั่นถือมั่นในรูปฌาน ความปรารถนาในรูปภพ โดยถือว่า รูปภพเหล่านี้ เป็นสิ่งวิเศษดีเลิศ
7.อรูปราคะ-ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน ความปรารถนาในอรูปภพ ว่าเป็นคุณวิเศษ ที่จะให้พ้นจากวัฏฏะ
8.มานะ-การมีอารมณ์สำคัญตน คือ ถือตนว่า เป็นนั่นเป็นนี่ มีชั้นวรรณะสูงกว่าคนอื่น
9.อุทธัจจะ-ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ครุ่นคิดอยู่แต่ในอกุศล
10.อวิชชา-ความไม่รู้จริง ทำให้หลงคิดว่า ทุกสิ่งของโลก เป็นของเที่ยงแท้......
ท่านที่ฝึกปฏิบัติผ่านหลักสมถะ วิปัสสนา หรือรับแสงทิพย์อริยธรรม+ พระ 7 พระองค์ไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่า จิตใจของตนเอง หลุดพ้นจากกิเลสมากน้อยเพียงใด?
ดังนั้น จึงเสนอบทส่งท้ายภาคโลกุตตระนี้แด่ทุกท่าน เป็นตารางเปรียบเทียบ ตรวจสอบกับภาวะการปฏิบัติจิตของท่านเอง
มาตรแม้น ยังมีกิเลสมากอยู่ ก็ขอให้ท่านพยายามฝึกจิต ปฏิบัติบำเพ็ญให้ลดละให้ได้ เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสสังโยชน์ 10 อันเป็นกิเลสที่ดึงเหนี่ยวร้อยรัด ให้ตกอยู่ในวัฏฏสงสาร ที่ต้องมาเกิดอีก เพราะกิเลส ที่ผูกใจคนมัดไว้กับความทุกข์.....
-ตัดได้ 3 ข้อแรก-ก็เป็นพระอริยเข้าขั้นต้น คือ พระโสดาบัน(รักษาศีล 5 ได้บริสุทธิ์จริงๆเป็นปกติ 100% ไม่สามารถทำผิดศีล 5 ได้เลย ไม่ว่าข้อไหน และไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าจำเป็นต้องทำผิด ท่านยอมตายเสียดีกว่า)
-ตัดกิเลสโลภ-โกรธ-หลงเบาบางลงไปได้อีก-ก็เป็นพระสกิทาคามี
-ตัดกิเลสสังโยชน์เพิ่มข้อ 4-5 ได้อีก-ก็เป็นพระอนาคามี(ไม่มีโกรธและไม่มีกามราคะ เพราะตัดได้หมดแล้ว)
-ตัดได้ทั้ง 10 ข้อ -ก็เป็นพระอรหันต์ พระอริยเจ้าขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา
ทั้งนี้ ขอกระซิบฝากไว้นิดหนึ่งว่า คนเรา ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า ผ่านได้กี่ข้อ ก็เป็นการสำเร็จมรรคผลชั้นนั้น ชั้นนี้ เพราะว่า
"เมื่อยึดขั้น-ยึดชั้น ก็เป็นการยึดตัวตน เป็นก้าวแรกของความหลง เป็นเหตุต่อเนื่อง ปรุงแต่งให้เกิดทุกข์อยู่ร่ำไป".....

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

คำนำจากผู้บันทึก(พิมพ์ครั้งแรก)

เรื่องราวที่ผู้บันทึกจะนำเสนอสู่สายจิตสายธรรมของทุกๆ ท่านต่อไปนี้เป็นเพียงเกร็ดประวัติโดยย่อของสตรีผู้หนึ่งมีชีวิตที่น่าศึกษายิ่งสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาส ศรัทธามุ่งมั่นในการรักษาสติมีเพียงศีล 5 เป็นกรอบในการดำเนินชีวิต สตรีผู้นี้หนังสือหนังหาก็อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แต่ทว่าคุณธรรมแห่งการปฏิบัติธรรมที่ชำระสะสางกิเลสให้เบาบางลงจากจิต (ในประวัติส่วนนี้ผู้บันทึกจะไม่ขอกล่าวถึงให้มากนัก) คุณธรรมในจิตใจนั้นแม้แต่เหล่าเทพเทวดาสวรรค์ชั้นต่างๆ ตลอดยังภูตผีวิญญาณชาวบังบดยังมากราบไหว้ขอทางสว่างแห่งชีวิต สตรีใจเหล็กผู้นี้เป็นที่กล่าวขานยกย่องในแวดวงพระกรรมฐานสายพระอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สรรเสริญยกย่องในด้านความเพียรรักษาสติได้อย่างเป็นเลิศ ถึงแม้จะเป็นเพียงอุบาสิกาชาวบ้านป่านาดอนธรรมดาๆผู้หนึ่ง แต่ทว่าด้านจิตใจและคุณธรรมนั้นมิใช่ธรรมดา พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาทิ พระเดชพระคุณหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แห่งวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย พระอริยเจ้าผู้บรรลุธรรมอรหันต์ผู้ล่วงลับ อีกทั้งพระคุณท่านหลวงปู่หล้า เขมปัตโต พระอริยสงฆ์ แห่งภูจ้อก้อ จ.มุกดาหาร ยังกล่าวขานยกย่องสตรีผู้นี้ว่ามีความเพียรเป็นเลิศมีจิตใจเด็ดเดี่ยวอย่างแท้จริง ดังคำกล่าวบทหนึ่งของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต กล่าวกับสตรีผู้นี้ว่า “บำเพ็ญทุกวันนี้อย่าปฏิบัติเข้มมากนักพักผ่อนซะบ้าง” จนในภายหลังสตรีผู้นี้ได้ผ่อนคลายจากการปฏิบัติความเพียรจากการฝึกสติอยู่ในองค์บริกรรมภาวนาพุทโธ ทั้งหลางวัน กลางคืน โดยการไม่ยอมหลับยอมนอนเป็นระยะเวลา 3 เดือนเต็มๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 ปี หรือแม้แต่ท่านหลวงปู่บุญมี สิริธโร อริยสงฆ์แห่งวัดป่าเลิง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ผู้ล่วงลับยังกล่าวขานถึงลูกสาวในอดีตชาติของท่านด้วยความไม่น่าเป็นห่วงในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นในชาตินี้หากจะกล่าวถึงพระภิกษุรูปหนึ่งในยุคปัจจุบันนามหลวงพ่อมหาบุญทัน ปุญญทัตโต แห่งวัดป่าสามัคคีสันติธรรม อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น ภิกษุผู้มากด้วยบารมีธรรมที่หลวงพ่อบุญทันยังกล่าวยกย่องสตรีผู้นี้ว่ามีครูบาอาจารย์คอยติดตามดูแลรักษาจิต และเตือนจิตภพในชาตินี้ ท่านยังกล่าวถึงอุบาสิกาผู้มีนามว่าแม่จันทร์ทา ฤกษ์ยาม แห่งบ้านหนองไศล กิ่ง อ.หนองฮี จ.ร้อยเอ็ด ว่า “วันนี้หลวงปู่ใหญ่ก็มา ด้วยเนอะ” ในคราวที่แม่ทาพาคณะศิษย์ไปกราบเยี่ยมหลวงพ่อบุญทันที่วัด หรืออย่างพระอาจารย์บุญชวน ธัมมโฆสโก วัดป่าวังน้ำทิพย์ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ผู้ซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี แห่งวัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.อุบลราชธานี ภิกษุผู้มีความเพียรเป็นเลิศ พระอาจารย์บุญชวน ธัมมโฆสโก ยังกล่าวขานยกย่องด้วยไม่มีความสงสัยในคุณธรรมใดๆ ของอุบาสิกาแม่จันทร์ทา ฤกษ์ยาม ผู้นี้ บางครั้งพระอาจารย์บุญชวนมีเรื่องต้องการความช่วยเหลือในเรื่องบางอย่างก็ได้อุบาสิกาแม่จันทร์ทา ฤกษ์ยาม ผู้นี้เองเป็นผู้ช่วยเหลือ อีกทั้งพระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช แห่งวัดถ้ำแสงธรรม อ.บึงโขงหลง จ.หนองคาย ภิกษุผู้มีญาณวิถีจิตคล่องแคล่วว่องไวมีอภิญญาจิตสูงส่ง พระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช กล่าวยกย่องถึงแม่ทาต่อหน้าคณะศิษย์ว่า “แม่ทาเป็นเจ้าแม่กวนอิมลาว” หรือแม้กระทั่งภิกษุหลวงพ่อสายทอง เตชะธัมโม ท่านอยู่ที่วัดป่าห้วยกุ่ม ในเขตอำเภอเกษตรสมบูรณ์ ตรงข้ามกับเขื่อนห้วยกุ่ม จังหวัดชัยภูมิ การบำเพ็ญเพียรภาวนาของพระภิกษุรูปนี้ท่านเดินจงกรมฝ่าเปลวแดดอันร้อนระอุในภาคกลางวัน บางครั้งมีญาติโยมเข้าไปกราบนมัสการท่าน คิดอะไรเพลินอยู่ในใจ ท่านก็หยั่งรู้วาระจิตกล่าวทักออกมาให้ผู้นั้นได้ประจักษ์ หรือแม้บางครั้งศรัทธาญาติโยมมีเรื่องทุกข์ร้อนต่างๆ นานา ต้องการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งอยากให้เศรษฐกิจในครัวเรือนเจริญรุ่งเรือง ไปปรึกษาท่าน ปรับทุกข์ให้ท่าน ท่านเพียงนั่งอธิษฐานจิตช่วยอยู่ที่วัด บางรายก็ดีขึ้น (ทุเลา) บางรายก็ได้สำเร็จดังใจ พระอาจารย์รูปนี้หรือผู้บันทึกจะเรียกท่านว่าหลวงพ่อยังกล่าวถึงคุณธรรมของอุบาสิกาแม่จันทร์ทา ใจความว่า “ตัวเราเองไม่มีความสงสัยใดๆ ในคุณธรรมของแม่ทาเลย ในบรรดาฆราวาสทั้งหมดในประเทศไทยเท่าที่ได้รู้จักและสัมผัส” (คุณธรรมจิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง) หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดพอที่จะได้พึ่งพาอาศัยก็ได้สตรีใจเหล็กแม่จันทร์ทา ฤกษ์ยาม ผู้นี้แนะนำส่งเสริมเกื้อกูลในกิจต่างๆ ต่อกันเป็นอย่างดี แม่ทาผู้นี้เป็นใครมาจากไหน หลายท่านก็คงอยากจะทราบอยากจะรู้จักให้มากกว่านี้แต่การบันทึกประสบการณ์ชีวิตของแม่จันทร์ทา ฤกษ์ยาม ของผู้บันทึกในครั้งนี้ ขอให้คุณผู้อ่านญาติธรรมที่กำลังศึกษาธรรมประวัติจากชีวประวัติของแม่จันทร์ทา เล่มนี้ได้พิจารณาใคร่ครวญวิเคราะห์ด้วยวิจารณญาณของตนให้แจ่มชัด อย่าเพิ่งเชื่อโดยขาดเหตุผลที่สมควรอย่าปฏิเสธโดยที่ยังไม่ได้ลองปฏิบัติจิตภาวนา พิจารณาดูเนื้อหาสาระเพียงบางประโยคบางถ้อยคำ ที่ท่านคิดว่ามีประโยชน์สำหรับตัวท่าน น้อมโอปนยิโกสู่ตน ส่วนบทความเนื้อหาที่ท่านพิจารณาแล้วยังไม่มีเหตุผลน่าเชื่อถือมีประโยชน์น้อย หรือไม่มีประโยชน์เลยก็ขอให้ญาติธรรมวางใจให้เป็นอุเบกขาธรรม หากพิจารณาแล้วศรัทธาในชีวประวัติจากเรื่องบันทึกถึงด้วยเหตุด้วยผล ทั้งบุรุษเพศและสตรีเพศทุกคนเท่าเทียมกันไม่มีใครดีกว่ากันเลวกว่ากันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้นที่จะเลือกปฏิบัติดี หรือปฏิบัติไม่ดี ศึกษาให้เข้าใจ อย่างมงาย อย่าเพ้อฝัน มีสติอยู่กับกายกับจิต ศึกษาเรื่องของตนเองให้ถี่ถ้วน ก่อนที่จะศึกษาเรื่องของผู้อื่น รู้เรื่องของผู้อื่นหมดโลกก็ไม่เท่าเพียงหนึ่งนาทีที่รู้เรื่องจิต เรื่องของตนอย่างเข้าใจตรงความเห็นจริงเพื่อให้จิตมีคุณภาพอย่างแท้จริง....ด้วยรักและจริงใจ สรรค์สร้างสิ่งอันจะเป็นประโยชน์สู่ทุกๆท่านตลอดมาและตลอดไป ตามภูมิปัญญาอันน้อยนิดที่มุ่งเน้นสร้างสรรค์สู่ชน...
กราบเรียนถึงญาติธรรมทุกๆ ท่านด้วยความเคารพเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้
นายพันธกานต์ กิ้มทอง
กองทุนเผยแพร่เกียรติประวัติพระอริยผู้ทรงธรรม

สมาธิในอริยมรรคอริยผล


ทีนี้ถ้าหากว่า จิตย้อนมามองรู้เห็นอย่างนี้ จิตของผู้นั้นเดินทางถูกต้องตามแนวทางอริยมรรค อริยผล หรือไม่ ถ้าหากว่า สงบ สว่าง นิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน ร่างกายตัวตนหาย แล้วก็สงบละเอียดเรียวไปเหมือนปลายเข็ม อันนี้เรียกว่าสมาธิขั้นฌานสมาบัติ ไปแบบฤาษีชีไพร ถ้าหากจิตของผู้ปฏิบัติไปติดอยู่ในสมาธิแบบฌานสมาบัติ มันก็เดินฌานสมาบัติ ทีนี้ฌานสมาบัตินี้มันเจริญง่ายแล้วก็เสื่อมง่าย ในเมื่อมันเสื่อมไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรเหลือ แต่ถ้าหากสมาธิแบบอริยมรรคอริยผลนี้ ในเมื่อเราได้สมาธิซึ่งเกิดภูมิความรู้ความเห็น เช่น เห็นร่างกายเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไปแล้ว ภายหลังจิตของเราก็จะบอกว่าร่างกายเน่าเปื่อยเป็นของปฏิกูล ก็ได้ อสุภกรรมฐาน เนื้อหนังพังลงไปแล้วยังเหลือแต่โครงกระดูก ก็ได้อัฐิกรรมฐาน ทีนี้เมื่อโครงกระดูกสลายตัวแหลกไปในผืนแผ่นดินจิตก็สามารถกำหนดรู้ได้ธาตุกรรมฐาน แต่เมื่อในช่วงที่จิตเป็นไปนี่ จิตจะไม่มีความคิด ต่อเมื่อถอนจากสมาธิมาแล้วสิ่งที่รู้หายไปหมด พอรู้ว่ามันมาสัมพันธ์กับกายเท่านั้นเอง จิตตรงนี้จะอธิบายให้ตัวเองฟังว่านี่คือการตาย ตายแล้วมันก็ขึ้นอืด น้ำเหลือไหล เนื้อหนังพังไปเป็นปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก ในเมื่อเนื้อหนังพังไปหมดแล้วก็ยังเหลือแต่โครงกระดูก ทีนี้โครงกระดูกมันก็แหลกละเอียด หายจมลงไปในผืนแผ่นดิน ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะเหตุว่าร่างกายของคนเรานี้มันมีธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขามีที่ไหน ถ้าจิตมันเกิดภูมิความรู้ขึ้นมาอย่างนี้ ภาวนาในขณะเดียวความเป็นไปของจิตที่รู้เห็นไปอย่างนี้ ได้ทั้งอสุภกรรมฐาน อัฐิกรรมฐาน ธาตุกรรมฐาน ประโยคสุดท้ายไหนเล่าสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขามีที่ไหน จิตรู้อนัตตา เรียกว่า อนัตตานุปัสสนาญาณ ภาวนาทีเดียวได้ทั้งสมถะ ได้ทั้งวิปัสสนาการกำหนดหมายสิ่งปฏิกูลน่าเกลียดหรือกำหนดหมายรู้โครงกระดูก แล้วก็กำหนดหมายรู้ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสมถกรรมฐาน ส่วนความรู้ที่ว่าสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขาไม่นมีที่ไหน เป็นวิปัสสนากรรมฐาน เพราะฉะนั้น ท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย สมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน เป็นคุณธรรมอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อไม่มีสมาธิ ไม่มีฌานไม่มีวิปัสสนา ไม่มีวิปัสสนาก็ไม่มีวิชาความรู้แจ้งเห็นจริง เมื่อไม่รู้แจ้งเห็นจริง จิตไม่ปล่อยวางก็ไม่เกิดวิมุตติความหลุดพ้น สายสัมพันธ์มันก็ไปกันอย่างนี้ อันนี้เป็นแนวทางการปฏิบัติกรรมฐานในสายของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเพราะฉะนั้น เราอาจจะเคยได้ฟังว่า ภาวนาพุทโธแล้วจิตได้แต่สมถกรรมฐานไม่ถึงวิปัสสนา อนุสติ 10 พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ จาคานุสติ อุปสมานุสติ ภาวนาแล้วจิตสงบหรือบริกรรมภาวนา เมื่อจิตสงบแล้วถึงแค่สมถกรรมฐาน เพราะว่าภาวนาไปแล้วมันทิ้งคำภาวนา เพราะฉะนั้น คำว่า พุทโธๆๆ นี้มันไม่ได้ติดตามไปกับสมาธิ พอจิตสงบเป็นสมาธิแล้วมันทิ้งทันทีทิ้งแล้วมันก็ได้แต่สงบนิ่ง แต่อนุสติ 2 อย่าง คือ กายคตานุสติ อานาปานสติ ถ้าหลักวิชาการท่านว่า ได้ทั้งสมถะทั้งวิปัสสนาทีนี้ถ้าเราภาวนาพุทโธ เมื่อจิตสงบนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ถ้ามันเพ่งออกไปข้างนอกไปเห็นภาพนิมิต ถ้าหากว่านิมิตนิ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นสมถกรรมฐาน ถ้าหากนิมิตเปลี่ยนแปลงก็เป็นวิปัสสนากรรมฐาน ทีนี้ถ้าหากจิตทิ้งพุทโธ แล้วจิตอยู่นิ่งสว่าง จิตวิ่งเข้ามาข้างใน มารู้เห็นกายในกาย รู้อาการ 32 รู้ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่งร่างกายปกติแล้วมันตายเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป มันเข้าไปกำหนดรู้ความเปลี่ยนแปลงของสภาวะคือกายกับจิต มันก็เป็นวิปัสสนากรรมฐาน มันก็คลุกเคล้าอยู่ในอันเดียวกันนั้นแหละแล้วอีกประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะเคยได้ยินได้ฟังว่าสมาธิขั้นสมถะไม่เกิดภูมิความรู้ อันนี้ก็เข้าใจผิด ความรู้แจ้งเห็นจริง เราจะรู้ชัดเจนในสมาธิขั้นสมถะ เพราะสมาธิขั้นสมถะนี่มันเป็นสมาธิที่อยู่ในฌาน สมาธิที่อยู่ในฌานมันเกิดอภิญญา ความรู้ยิ่งเห็นจริง แต่ความรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในขณะที่จิตอยู่ในสมาธิขั้นสมถะ มันจะรู้เห็นแบบชนิดไม่มีภาษาที่จะพูดว่าอะไรเป็นอะไร สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น เช่น มองเห็นการตาย ตายแล้วมันก็ไม่ว่า เน่าแล้วมันก็ไม่ว่า ผุพังสลายตัวไปแล้ว มันก็ไม่ว่า ในขณะที่มันรู้อยู่นั่น แต่เมื่อมันถอนออกมาแล้วยังเหลือแต่ความทรงจำ จิตจึงจะมาอธิบายให้ตัวเองฟังเพื่อความเข้าใจทีหลังเรียกว่าเจริญวิปัสสนา

จิตพิจารณาสักกายทิฐิ


จิตแม่ทารู้เห็นแล้วได้พิจารณาดูร่างกายของตนเองอย่างละเอียดจนเห็นอวัยวะทั้งภายในภายนอกของตนอย่างละเอียดด้วยความมีสติปัญญา การที่จิตของแม่ทาจะดับลงจากสักกายทิฐิได้จริงๆ มีวิธีการเดียว โดยการนั่งพิจารณาร่างกายของตนเองจนแจ้งชัดในภูมิวิปัสสนากรรมฐาน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ที่ได้ฝึกสติจนตั้งมั่นเป็นสมถะ จิตมีพลังอำนาจสูงจากการฝึกสติอยู่กับพุทโธได้ 6 ปี แม่ทาก็พิจารณาทบทวนดูจิตเพ่งดูแต่ในกายตน สักพักก็ได้เห็นนิมิตเป็นกองฟืนแล้วมีไฟลุกพรึบท่วมกองฟืน ร่างของแม่ทานอนนิ่งเหมือนคนตาย เมื่อเห็นดังนั้นแม่ทาก็คิด “เอกูจะเอาร่างกายมาเผานี่ ทำไมไฟจึงลุกก่อน ควรที่จะให้เอาร่างกายนี้ไปตั้งกองฟืนแล้วค่อยจุดไฟ” จิตแม่ทาก็ได้ยินเสียงผู้รู้ตอบให้ทราบว่า “มันจึงรวดเร็วทันใจ” แล้วจิตแม่ทาก็ได้นำร่างกายของตนใส่ไปในกองไฟ ไฟก็ลุกท่วมเผาร่างกาย แล้วแม่ทาก็หาท่อนไม้ท่อนฟืนใส่สุมเข้าไปเพื่อให้ไฟไหม้ร่างกายให้หมดทั่วถึง ไฟก็เผาร่างกายให้หมดทั่วถึง ไฟก็เผาร่างของแม่ทาจนมอดดับลง จิตแม่ทาก็ได้เดินเข้าไปเขี่ยดูในกองขี้เถ้าดูว่ามันไหม้หมดหรือไม่ ก็พบชิ้นส่วนอวัยวะบางส่วนเป็นสีเทาๆ “มันทำไมเป็นสีเทาหนอ ส่วนนี้” จากนั้นก็เขี่ยไปเรื่อยๆ แล้วก็พบเห็นมีลิ้นยาวๆแลบลิ้นออกมาให้ดู แล้วก็เห็นลูกนัยน์ตากะพริบปริบๆมองมาที่แม่ทา แม่ทาก็ได้กำหนดพิจารณาให้มีกองฟืนอีกครั้ง แล้วกำหนดพิจารณาร่างกายขึ้นมาใหม่แล้วเพ่งไฟให้ไปเผาร่างกายเพื่อไม่ให้เหลือเศษชิ้นอวัยวะแม้แต่น้อย เมื่อไฟมอดก็ไปเขี่ยดูอีก ปรากฏเหลือนัยน์ตาเท่านั้นที่ไม่ยอมไหม้สลาย แม่ทาก็กำหนดจิตพิจารณาเพ่งไฟเผาร่างกายตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น แต่ก็ยังปรากฏว่าลูกนัยน์ตาก็ไม่ยอมไหม้ไฟเสียที จิตกายทิพย์แม่ทาก็เดินวนดูรอบๆ ลูกนัยน์ตา ลูกนัยน์ตานั้นก็กลิ้งกลุกๆ ตามแม่ทาตลอด แม่ทาเห็นดังนั้นจึงร้องบอก “ฮ่วย กูทำไมมาสูญ (โมโห) มากแท้ นี้กูจะทำอย่างไร เอาอะไรสับให้มันแตก” พูดดังนั้นก็ปรากฏว่ามีพลั่วมาสับลงไปที่ลูกนัยน์ตาจนแตกกระจาย แล้วแม่ทาจึงได้มาพิจารณาในกายรู้เห็นตามสภาวะเป็นจริง จิตรู้เห็นตามความจริง รู้แจ้งชัดในปัญญา รู้ว่าร่างกายของคนเรามนุษย์สัตว์ ใครๆก็ตาม เป็นร่างกายเปื่อยเน่าเป็นซากศพ เป็น โครงกระดูกก็ถูกนำไปเผาไฟเหลือแต่เถ้าถ่านครั้นฝนตกชะลงมา กาลเวลาผ่านไปนานวันก็ถูกดินทับถมลงไป จนเถ้าถ่านนั้นกลายเป็นดิน กลายเป็นต้นไม้ เถาวัลย์เป็นหญ้า กลายเป็นป่าเป็นดงต่อไป เมื่อรู้เห็นเช่นนี้ตามสภาวะความเป็นจริงแล้ว สักกายทิฐิคือความติดและหลงอยู่ในร่างกายของตนก็ถูกตัดขาดไป การละสักกายทิฐิคือ การละความยึดมั่นถือมั่นในกายตน ทำลายให้ขาดสะบั้นจากจิต ภูมิธรรมปัญญาแห่งการละสังโยชน์ 3 ประการ คือ ละสักกายทิฐิ (ความเห็นเป็นเหตุถือตัวถือตน) ละวิจิกิจฉา (ละความลังเลสงสัย) ละสีลัพพตปรามาส ละในการลูบคล้ำข้อวัตรปฏิบัติ(ศีล) ก็สามารถต่อกรกับกิเลสต่างๆ จนรู้แจ้งชัดประจักษ์ในจิตของตนเอง รู้ตนเองด้วยปัญญาธรรม บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้นไม่นับตั้งแต่ได้ฝึกสติอยู่กับองค์บริกรรมพุท-โธมาตลอดเวลา 7 ปีเต็มๆ ไตรลักษณ์ญาณแจ้งชัดในเรื่องสังขารร่างกาย ละความยึดมั่นถือมั่นในกายตน จิตมีพลังอำนาจสูงรู้แจ้งเพราะการได้ฝึกสติจนเป็นสมถะสู่การเดินปัญญาด้วยจิตสู่วิปัสสนาญาณภูมิ การรู้เห็นสิ่งต่างๆ ก็ยิ่งแม่นยำรู้ละเอียดขึ้นเพราะมิได้เอาความคิดเห็นแก่ร่างกายตนมาเป็นอารมณ์ แม่ทาฝึกสติกับพุท-โธ รู้แจ้งเห็นชัดดังกล่าวก็ยิ่งเกิดความมุ่งมั่นยิ่งขึ้นกับการฝึกสติเพื่อให้จิตเป็นอารมณ์เดียว...เอาจิตเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง จะเพ่งมองดูอะไรก็พอรู้พอทราบเข้าใจชัด จะออกไปทำนาเลี้ยงควายหุงข้าว จิตแม่ทาก็ไม่พลาดจากสติพุท-โธ รู้อย่างเดียวคือ พุท-โธ

พิจารณาอสุภนิมิตสู่การละสักกายทิฐิ


ต่อมาการปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิอยู่กับพุท-โธ ขอแม่ทาย่างเข้าสู่ปีที่ 7 จิตเริ่มมีพลังบริสุทธิ์ขึ้นไปตามลำดับ จิตสงบเป็นจิตทิพย์ แม่ทาได้นั่งภาวนาก็ได้นิมิตมองไปทางไหนก็มองเห็นแต่คนตายเต็มไปหมด แม่ทาถามตนเองว่า “มันเป็นอะไร ทำไมตายเยอะเหมือนกบเหมือนเขียดแท้” จิตแม่ทาส่องก็มองเห็นศพที่นอนตายนั้นปรากฏมองเห็นเป็นรูปแต่รูปร่างกายของแม่ทานอนนิ่งตาย จิตกายของตนได้ใช้เท้าคีบดูบริเวณใบหน้าของศพก็ปรากฏว่าศพนั้นก็หันหน้ายิงฟันเห็นแต่ออกมาให้แม่ทาดู จิตแม่ทาก็นึก “แบบนี้แหละหนอที่เขาได้เยี่ยวรดอย่างว่า” จิตของแม่ทาเห็นร่างกายของตนตายก็เดินไป “ตายก็ตายกูไม่สนใจกูไม่ดูหรอกดูได้แค่นี้” ปรากฏว่าขณะนั้นรูปกายของแม่ทาที่นอนแน่นิ่งอยู่นั้นก็เกิดอาการดิ้นกระตุกๆ ขึ้นมา จิตของแม่ทาก็พูดกับร่างนั้นว่า “โอ้ชักก็ชัก ตายก็ตาย ถ้าตายกูจะเผา” แล้วปรากฏว่าร่างกายนั้นก็ตายลงแล้ว แม่ทาก็ทำการเผาร่างกายของตนเอง ร่างนั้นตายแล้วก็ปรากฏฟื้นขึ้นมาอีกแล้วก็ตายลง แต่แม่ทาก็จัดการเผาร่างกายของตัวเองที่นอนตายอยู่นั้นจนเป็นกองใหญ่ ปรากฏว่าศพที่เผานั้นมีแต่ร่างของแม่ทาผู้เดียว จิตจึงได้บอกกับร่างนั้น” เออมึงตายผู้เดียวกูก็จะเผามึงผู้เดียว” แล้วก็ได้จุดไฟเผาร่างกายศพตนเองจิตของแม่ทาก็บอกตนเองว่า “เผาแล้วก็แล้วแต่มึงจะไหม้ กูไม่สนมึง” นิมิตในการพิจารณากายตนก็หายไปต่อมาแม่ทานั่งบำเพ็ญก็ได้ปรากฏรูปกายกิเลสจิตมารของตนขึ้นมาให้ทราบในนิมิตเข้ามาหาแสดงให้จิตของแม่ทารู้ มันร้องบอกแม่ทาว่า “เอ้า ถ้ามึงว่ามึงดี” แม่ทาก็นิ่ง จิตกิเลสมารก็แสดงต่อไปว่า “มึงว่ามึงดีจริงๆ ในกระดูกซี่โครงมึงมีกี่ซี่ ถ้ามึงเก่ง” จิตแม่ทาก็ตอบจิตกิเลสว่า “กูก็ไม่ได้เก่ง กูนับได้ขนาดนี้แหละ มึงอยากรู้จักอะไรนักหนา มันจะเกินร้อยหรือมันไม่พอร้อยหรอก กระดูกซี่โครงเฉยๆนับเอาแต่น้อยใหญ่ก็มี 12-13 ตั๋วะมึงจะเอาไปทำอะไร ?” จิตกิเลสมารที่ปรากฏเป็นรูปร่างแม่ทาก็ร้องบอกจิตแท้แม่ทาว่า “โอย มึงก็อย่าเก่งมากนัก” แม่ทาก็ตอบ “ไม่ได้ว่าเก่งอะไร กูนั่งเฉยๆ นี่ คนมายุ่งเกี่ยวกับกูกูโมโห ดีนะที่กูไม่เตะผ่าหมาก” จิตของแม่ทาพูดกับกิเลสจิตมารจะเป็นแต่คำพูดแทนตนว่ากูตลอด จิตกิเลสมารก็ร้องบอก “ไม่ ถามดูเฉยๆ” แม่ทา (จิต) “เรียกมาเพื่อนมึงมีกี่คน” จิตกิเลสมารตอบว่า “เพื่อนกูมีอยู่ 6” แม่ทาก็ท้าทายตอบไปว่า “6 ก็เอาทั้ง 6 ต่อให้มา 12 ก็ได้” จิตกิเลสมารมันก็ได้แสดงอาการเรียกเพื่อนมันมา “เฮ้ย ๆ มานี่” ก็ปรากฏว่าจิตกิเลสมารก็ได้ปรากฏเป็นรูปกายแม่ทา (จิต) มองดูมันทั้งหมด ก็พบเห็นว่าพวกกิเลสจิตมารนั้นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายตัวเองทั้งหมดเลย พวกมันก็พากันมายืนหวีผมอยู่รอบๆแม่ทา แล้วก็พากันนั่งลงข้างๆ แม่ทา หัวหน้ากิเลสมันจึงได้พูดบอกกัน “เอ้า อย่างนี้ซะ เฮาเรียกโต๋มานี่ไม่ใช่อะไร ถ้ามันเก่งให้มันเอาตับไตมันออกมาดูซิเฮาต้องเห็นด้วยกันทั้ง 6 คน”แม่ทา (จิต) ก็ถามกิเลสด้วยความองอาจ “มึงอยากดูอะไรนะ” กิเลสท้า “เอาออกมานี่ เอาออกมาเลย” แม่ทาก็ถามกลับ “แล้วมึงจะดูไปทำไม เดี๋ยวนี้มึงอยากดูจริงๆหรือ” กิเลสมารก็รีบตอบ “อยากดูล่ะซิกูถึงมา” พอกิเลสท้าทายเช่นนั้นจิตแม่ทาก็ถามย้ำ “มึงอยากดูจริงๆ หรือ” จากนั้นแม่ทาก็ทำการปลดล็อคบริเวณคอหอยคล้ายปลดสลักที่อยู่บริเวณคอหอยออกดังกริ๊ก แล้วจึงดึงอวัยวะภายในต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ตับ ไต ไส้ กระเพาะ ถุงน้ำดี เป็นต้น ออกมาจากร่างกาย หลุดออกมาเป็นพวงเส้นสายต่อเนื่องกัน จิตกายทิพย์ของแม่ทาก็ได้ร้องบอกกิเลสจิตมารที่มาท้าทาย “เอ้า นี่แหละมึงจะดูขนาดไหนมึงจะกินไหม” แล้วโยนออกไปกองวางให้พวกกิเลสมารมาดู แล้วมันก็ถามแม่ทาว่า “มองดูให้ครบไหม มึงตายแท้” เสียงอวัยวะต่างๆ ของแม่ทาที่อยู่ติดกันเป็นพวงก็ดังโกรกเกรกๆ แล้วเหล่าพวกกิเลสจิตมารที่แสดงรูปร่างเป็นรูปร่างหน้าตาคล้ายแม่ทาได้คุยกันว่า “มันต้องตายแท้ มันเอาออกมาหมดแล้ว” แม่ทา(จิต) รับรู้เช่นนั้นก็บอกกิเลสมาร “ตาย กูก็ยอมตาย ถ้ากูโง่ ถ้ากูไม่โง่ ระวังพวกมึงไว้ให้ดี ถ้ากูโง่กูไม่เสียดายหรอก นี่มึงว่าอะไร?” แม่ทาถามกิเลส “ถ้ากูรู้กูจะบอกมึงเอามาให้ดูหรือ” กิเลสตอบ จิตแม่ทาก็พูดด้วยหัวใจห้าวหาญต่อพวกกิเลสจิตมารว่า “ถ้ามึงไม่รู้แล้วไป อยู่นี่กูต้องเอาประกอบกูได้หมดล่ะ เพราะว่ากูเป็นผู้เอาออกมา” แล้วพวกกิเลสจิตมารมันก็คุยกันว่า “จ้างก็ประกอบเอาเข้าไปไม่ได้หรอก มันต้องตายแท้” กิเลสจิตมารก็ยั่วยุหมายจะหลอกให้แม่ทา (จิต) เกิดความหวั่นกลัวตาย แล้วจะได้หยุดการพิจารณาร่างกาย แม่ทาก็บอกว่า “กูไม่ตาย กูไม่โง่เหมือนพวกแกหรอก” แม่ทาก็ร้องท้าทายพวกกิเลสมารว่า “เอ้าถึงเวลาแล้วดูให้ชัดๆ นะ กูจะเอามาประกอบของกู ระวังพวกมึงไว้ให้ดี คราวนี้กูจะบีบคอมึงคอยดูซิ” กิเลสจิตมารก็พูดจากัน “ถ้ามันเอาออกมาอย่างนี้มันต้องตายเน้อ” กิเลสมารก็กระซิบกระซาบคุยกัน จิตแม่ทาก็รับรู้แล้วได้ไปจับอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายนั้นที่ติดกันเป็นพวงยกขึ้นแล้วบอกพวกกิเลสจิตมารว่า “นี่มึงว่าหวานหมูหรือ มึงว่ามึงจะได้ทางมึงหรือ คอยดูให้ดีเด้อ” ว่าแล้วแม่ทาก็ชูอวัยวะต่าง ยกขึ้นแล้วพิจารณาเพ่งดูอวัยวะต่างๆ อย่างแจ่มชัด แล้วใช้มือประคองอวัยวะต่างๆไว้ให้อยู่ในสภาพปกติ พิจารณาเพ่งดูอวัยวะต่างๆ ว่าอยู่อย่างไร? เรียงต่อกันอย่างไร? อะไรอยู่ส่วนไหนแล้วก็ค่อยวางอวัยวะ วางอวัยวะต่างๆเข้าไปในร่างกายอย่างช้าๆ จนเสร็จเรียบร้อยแล้วร้องบอกกิเลสมารว่า “นี่” ปรากกฎว่าพวกกิเลสจิตมารนั้นก็พากันเดินหนีไป เห็นแต่หลังไวๆ แม่ทาตะโกนเรียกให้มาก็ไม่ยอมมา “มึงมาเถอะน่า กูทำไมโมโหแท้ กูจะเอาพวกมึงให้ละเอียดเลย” แล้วเสียงกิเลสจิตมารมันก็ออกไปยืนคุยกันไกลๆ จิตแม่ทาที่มีสติรู้อยู่กับผู้รู้ก็ได้ยินเสียงพวกมันคุยกันว่า “พรุ่งนี้เราไปโกหก (ทำให้มันหลงในร่างกายตน) มันอีกนะ ไปยั่วมันอีกนะ ให้มันจนมันว่าไม่เหลือ ให้เอามันมาจนเป็นพวกเดียวกันกับพวกเราเลยแล้วค่อยไปหามันใหม่” จิตแม่ทาก็คึกคะนอง “มา”หลังจากที่ได้พิจารณาด้วยการมีสติจนมีการแยกแยะรู้จักตัวกิเลสของจิตมารได้ จิตแม่ทาก็สงบอยู่กับสติ พอเวลาผ่านไปได้ 2-3 คืนจนเข้าสู่คืนที่ 4 การบำเพ็ญภาวนาเจริญสติควบคุมจิตของแม่ทาก็ได้มีพวกกิเลสมารเข้ามาเพื่อที่จะก่อกวนให้จิตแม้ของแม่ทาไม่สงบ หวาดกลัวละคลายจากความเพียรคลายสติออกจากผู้รู้ที่เฝ้าระวังจิตแท้ของตน ขณะที่แม่ทาภาวนาพิจารณาดูจิตตนอยู่นั้น พวกกิเลสจิตมารก็มาแสดงตนปรากฏเป็นรูปร่างกายคล้ายแม่ทา มาปรากฏในนิมิต พวกมันพากันมายืนเท้าเอวทำปากส่งเสียง “ฮึ นั่งก็นั่งหาสะแตกอะไร” จิตแม่ทาก็เฉยนิ่งไม่สนใจ พวกจิตกิเลสมารก็พูดยั่ว “ทำท่าไม่ได้ยินล่ะสิ กูพูดอยู่นี้ไม่ได้ยินสิท่า” แม่ทาก็นิ่งเฉย กิเลสมารไม่ละความพยายาม ได้มาพูดกวนใจให้แม่ทารำคาญ “ถ้าว่ามึงดีกูอยากจะดูกระดูกมึงน่ะ เอามันออกมาให้หมดซิ” แม่ทา (จิต) ก็ร้องบอก “ทำไมมันถึงมาบังคับกูอย่างนี้ ก็ก็ไม่กลัวมันเหมือนกัน ก็จะเอามันหมดทุกอย่าง” แล้วถามไปว่า “มึงชอบส่วนใด จะเอาออกให้หมดเลย มึงทำไมบอกกูได้แท้น้อ กูก็จะทำตามมึงหมดน่ะ แต่ว่ามึงจะทำได้เหมือนกูไหม” กิเลสจิตมารพูดอวดตัว “ทำได้แต่ว่ากูไม่ทำให้มึงเห็น” แม่ทาก็ตอบกิเลสมารว่า “มา กูไม่ยอมที่จะเสียดุลมึง กูต้องเอาออกได้ มึงจะให้กูเอาส่วนไหนออกก่อน” กิเลสจิตมารก็ร้องท้าทาย “เอาออกหมดเลย ตรงข้อแขน ข้อขาน่ะ” ขณะนั้นแม่ทาก็พิจารณาตามสติปัญญาด้วยตนเองเนื่องจากไม่มีครูบาอาจารย์ อ่านหนังสือไม่ได้เขียนไม่ออก ความรู้ด้านธรรมปัญญาก็ยังไม่แจ้งประจักษ์ แต่ก็ได้เพียงอาศัยขันติ วิริยะในจิตใจที่อาจหาญไม่เกรงกลัวใดๆ จะตายก็ขอให้จิตเป็นหนึ่งอยู่กับ พุท-โธ ให้ได้ก็ถามตนว่า “โอ้ มันใช่อะไรหนอ” กิเลสมารก็ร้องบอก “กูก็คือเพื่อนมึงนั่นแหละ” แม่ทาก็ถาม “เพื่อนอะไรหนอ” กิเลสก็ตอบว่า “กูก็คือเพื่อนก็เพื่อนนี่แหละ” กิเลสจิตมารยังได้พูดข่มขู่ใส่แม่ทาหมายจะทำให้เกิดความกลัว กิเลสนี้เองที่มันคอยเข้าครอบครองหัวใจสัตว์โลกไม่ให้เกิดปัญญาไม่ให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม กิเลสนี้ตัวความยึดมั่นถือมั่นในกายตัวกายตนถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา ไม่รู้จักทุกขัง อนิจจัง อนัตตา จิตไม่แจ้งประจักษ์ในไตรลักษณ์ญาณ จิตแม่ทาก็รำพึงในจิต “เอาก่อนน้า เราจะปลดมันตรงนี้ออกล่ะ” ว่าแล้วจิตแม่ทาก็ได้กำหนดดูในกรรมฐาน 5 คือ พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พิจารณาก็ปรากฏว่าสิ่งเหล่านี้ก็หลุดออกมาลงพื้นจนหมด แม่ทาใช้จิตพิจารณาดูก็เห็นเป็นครั้งแรกก็ไม่ได้หวั่นไหว ไม่ตกใจ จิตไม่ถอนไม่หวั่นต่อสิ่งที่ได้ประจักษ์ในกายตน แต่คำว่าหวั่นไหวกลัวของจิตก็มีเป็นธรรมดาของปุถุชนที่ยังมีความรัก ความอาลัยต่อสังขารร่างกายตน จิตแม่ทาเองจะบอกว่าไม่หวั่นไหวก็ไม่เชิง แต่หวั่นเพียงนิดเท่าเพียงเมล็ดข้าวเท่านั้น สติก็ได้ระลึกได้ “ช่างมัน ตา (นัยน์ตา) กูไม่อยากดูก็ได้เห็น” จิตของแม่ทานั้นก็อยู่ตรงกลางของกรรมฐาน 5 ที่หลุดร่วงออกจากร่างกายลงไปกองอยู่กับพื้น จิต จะมีความรู้สึกคล้ายดั่งตัวเองเป็นต้นไม้ ต้นไม้นั้นก็มียาง มีเปลือกไม้หลุดร่วงออกจากต้น จิตของแม่ทาก็ได้พิจารณาเห็นอวัยวะภายนอก (กรรมฐาน 5) หลุดออกจากร่างกาย เนื้อหนังที่หลุดร่วงออกจากกายกองอยู่บนพื้นก็สั่นระริกๆจิตแม่ทาเห็นเนื้อหนังตัวเองเป็นเนื้ออ่อนๆ เต้นระริกๆ จึงได้เอามือไปจับดูก็มีความรู้สึกว่าอ่อนนุ่มคล้ายยางไม้ คล้ายยางของต้นงิ้ว แล้วก็พิจารณาเพ่งดูโครงกระดูกของตนเห็นเป็นแต่โครงกระดูกนั่งอยู่ แล้วก็เกิดรู้ขึ้นมาว่า “โอ กระดูกมันเป็นอย่างนี้หรือนี่” แม่ทาก็เพ่งดูร่างกายตน กิเลสมันก็มายืนดู “มึงต้องตายแท้ มึงต้องตายแท้” กิเลสมัน มาพูดขู่ให้จิตแม่ทาหวั่นไหว แล้วแม่ทาก็มาจับกระดูกดูบริเวณข้อต่อ ก็เห็นว่ากระดูกบริเวณส่วนหัวเข่าที่ต่อกันเป็นกระดูกอ่อน บริเวณข้อแขนเป็นกระดูกอ่อนประกบกันค้ำไว้ กระดูกบริเวณสะโพกเอวก็เป็นคล้ายลักษณะเพิงหินยกขึ้นลงไปซ้อนกันเป็นชั้นๆ แม่ทาก็พิจารณาดูกระดูกในร่างกายของตนก็รู้แจ่มชัดรู้อยู่ในลักษณะอย่างไร กิเลสจิตมารก็มาพูดแหย่ว่า “โอ้ มึงทำไมเอาออกได้อย่างนี้ ตายแท้ๆนะ” แต่แม่ทาก็ไม่สนใจในตัวของพวกกิเลส ผู้รู้ก็ตอบบอกจิตแม่ทาให้ทราบ “มองดูให้ชัดๆพิจารณามากๆ” จิตแม่ทาก็รู้ตามเป็นจริง “โอ้มันก็เป็นอย่างนี้หรือ” จิตเห็นร่างกายตนจะรังเกียจก็ไม่รังเกียจแล้ว ก็เพ่งพิจารณาดูอยู่อย่างนั้น แล้วจิตแม่ทาก็ได้มาเพ่งดูกรรมฐาน ผม ขน เล็บ หนังที่หลุดออกจากร่างกายกองอยู่กับพื้น พิจารณาเพ่งดูตามความเป็นจริงของสังขารร่างกาย ก็ได้เห็นว่าเนื้อหนังส่วนต่างๆ ได้แปรสภาพเป็นเมล็ดข้าวสาร ส่วนโครงกระดูกร่างกายก็ยังทรงโครงกระดูกอย่างนั้น ก็เห็นแต่เส้นเอ็นในกระดูกไม่มีเลือด (เหมือนอย่างที่เราเห็นเขาลอกเนื้อไก่ออกจนเป็นโครงกระดูก) แม่ทาก็จับดูโครงกระดูกแล้วก็มาจับดูบริเวณส่วนเนื้อหนังที่กองอยู่กับพื้นที่กลายสภาพเป็นเมล็ดข้าวสารเต็มไปหมด แล้วแม่ทาก็พิจารณาว่า “โอ้ ทำไมมึงคือเป็นเมล็ดข้าวสารหมด ทำไมเป็นอย่างนี้หนอ ?” จากนั้นแม่ทาก็พิจารณาดูเมล็ดข้าวสารก็เห็นว่าเมล็ดข้าวสารนั้นค่อยๆ แปรสภาพเป็นข้าวปลายที่ละเอียดๆ คล้ายถูกบด จิตแม่ทาเห็นดังนั้น “ฮ่วยเมล็ดข้าวสารทำไมกลายเป็นข้าวปลาย” ก็เพ่งพิจารณาดูต่อไปหลังจากนั้นข้าวปลายก็ค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นแกลบแก่ๆ จิตกายทิพย์ที่เห็นสภาพเนื้อหนังของตนกลายสภาพเป็นแกลบก็ถามว่า “ฮ่วยทำไมมีแกลบ โอ้มันเป็นอย่างนี้หรือ” แม่ทาก็เพ่งดูต่อไปก็เห็นว่าแกลบแก่ๆ ก็ค่อยๆ แปรสภาพเป็นรำอ่อนๆอีก เมื่อเห็นดังนั้น สัญญาจิตก็นึกถึงคำของผู้เฒ่าผู้แก่ว่า “รำอ่อนนี้มันอร่อย” จิตก็คิดจะไปเอารำอ่อนมากำดู แล้วจิตก็รู้ตัว “โอ้ กูก็เคยเห็นเป็นรำอ่อนๆ แล้วก็ได้ยินเสียง (ผู้รู้) ตอบมาว่า “รู้จักไหม ? ดูให้มันชัดๆ ดูคักๆ ถูกเขาลวงเขาต้มตุ๋นโกหกจริงหรือไม่จริง”แม่ทาก็แปลกใจ “โอ้ย ! เสียงอะไรหนอที่ได้ยิน” เสียงผู้รู้ก็บอกต่อไป “ถูกเขาต้มหลอกลวงหรือไม่ ดูให้มันชัดๆ ดูให้มากๆ (พิจารณาด้วยปัญญา) หลุด (เนื้อหนัง) ออกมันเป็นอะไร? มันเป็นอะไร? พิจารณษดีให้มันแตกฉาน ถ้างั้นตายเผานะ? จิตแม่ทาก็ตอบ “ทำไมว่าอย่างนั้นหนอ” จิตแม่ทาก็ได้รู้จักคำว่า ปัญญาอย่างแท้จริงใจสัจธรรมว่าทุกสิ่งภายใต้กฎไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นก็ย่อมสลายดับไปเป็นธรรมดา จิตแม่ทาก็รู้ว่า “โอ้ สมมติว่าของพวกนี้เน่าเปื่อยสลายไป ถ้ามันดับขันธ์ไปพวกนี้ก็เป็นกระดูกนะนี่” ผู้รู้ก็ตอบ “เอ้อ” กิเลสจิตมารก็ได้เข้ามาหาแม่ทาอีก “มึงยังไม่แล้วหนี้กูน่ะ มึงเอาออกดูแค่นี้เอง” จิตแม่ทาตอบว่า “โอ๊ย กูก็ไม่กลัวมึงเท่าใดหรอกกูก็พิจารณษดูเฉยๆ หรอก กูก็ไม่ได้เอาไป (ยึดมั่นถือมั่น) อะไรหรอก” กิเลสจิตมารที่แสดงตัวรูปร่างคล้ายแม่ทาก็มาบังคับให้แม่ทาทำลายกาย พวกมันพูดว่า “มึงต้องตายนะมึงตายแท้” จิตแม่ทาก็ตอบพวกมันไปว่า “กูไม่กลัวมึงเหมือนกันล่ะเว้ย” พอว่าอย่างนั้นจิตแม่ทาก็ได้มาจับกระดูกแล้วดึงออกมาจากร่างกาย พวกกิเลสเห็นแม่ทาทำได้อย่างนั้นจริงๆ “โอ้ มึงเอาออกได้จริงๆ เว้ย” พวกกิเลสมารนั่นก็เริ่มแสดงอาการหวาดหวั่นต่อจิตแม่ทา แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ “มันเอาออกหมดแล้วคราวก่อนนั้นเราบอกให้มันเอาตับไตออกมาดู เราก็ดูของมันแล้ว คราวนี้มันเอาออกหมดแล้ว ถ้ามันตายจริงๆ จะทำอย่างไร?” พวกกิเลสมารคุยกัน “มันก็มาเป็นเพื่อนเราล่ะสิ มึงจะไปกลัวทำไม เราหกคนมันคนเดียว” จิตแม่ทาก็มิได้สนใจใยดีกับเสียงกิเลสจิตมาร แม่ทาจึงบอกกับตัวเอง “กูเอาออกได้กูก็ต้องเอาเข้าได้ล่ะ” กิเลสจิตมารมันก็คุยกันว่า “ถ้ามันเอาเข้าได้ล่ะ” กิเลสพวกเดียวกันก็ตอบว่า “ก็ฆ่ามันทิ้งเลย” แล้วมันก็มาบอกแม่ทาว่า “เอาอย่างนี้ซะ ก็มาอยู่รอวันรอคืนกันนานแล้ว เอาเข้าดูซิ ยังไงมึงต้องมาเป็นเพื่อนกับกูต่อไปอีก” แล้วกิเลสจิตมารก็ได้ใช้มือมาคนกองกระดูกส่วนต่างๆ ที่กองอยู่ของแม่ทาให้ปะปนกันแล้วมันร้องบอกแม่ทา “ถ้ามึงเอาเข้าไม่ได้ระวังมึงให้ดี มึงต้องมาเป็นเพื่อนกูเดี๋ยวนี้” จิตแม่ทาจึงมาพิจารณา แขนนี้มันต้องคว่ำลงถึงจะเอาเข้าได้ แขนนี้เป็นแขนซ้ายท่อนบน ส่วนอีกแขนต้องเป็นแขนขวาท่อนบน ถ้าต่อแขนท่อนบนเข้าบริเวณหัวไหล่ไล่ต่อเข้าข้างเดียวมันจะเอียง ถ้าจะต่อข้างเดียวไม่ได้การแน่ จิตผู้รู้ก็ผุดตอบว่า “ให้ใส่ทีละข้างก่อนเด้อ” แม่ทาก็ค่อยๆพิจารณาดูแขนท่อนบนทั้งสองนำมาเทียบกันดู ถ้าเท่ากันก็แสดงว่าเป็นส่วนเหมือนกัน แต่เป็นคนละด้านก็ดูว่าอันไหนด้ายซ้ายด้านขวา แล้วก็นำมาต่อเข้ากับช่วงรอยต่อบริเวณหัวไหล่แล้วแกว่งดูเพื่อจะให้แน่ว่าเข้ากันได้ไหม พวกกิเลสจิตมารก็เฝ้าดูแม่ทาต่อโครงกระดูกตนเอง แล้วแม่ทาก็เอาแขนต่อกันใส่ไป ปรากฏใจว่าไม่เข้าเพราะมันมีส่วนที่ค้ำกันอยู่ ถ้าเข้ากันสนิทมันจะล็อคกันแน่น แต่ก็ปรากฏว่าไม่เข้า ก็พยายามหมุนให้เข้ากับข้อต่อ จนในที่สุดแขนก็ต่อเข้ากับบริเวณหัวไหล่ได้ แล้วจึงนำท่อนแขนส่วนล่างต่อเข้ากับบริเวณข้อศอกซึ่งมันจะเป็นง่ามสามง่าม เมื่อต่อเสร็จแล้วทั้ง 2 ด้านก็มาต่อกระดูกช่วงขาซึ่งเป็นส่วนที่ยาก เพราะมีกระดูกส่วนกลางขา (หัวเข่า,ลูกสะบ้า) กั้น ต้องต่อกระดูกขาเข้าในส่วนบริเวณนี้แล้วกระดูกส่วนนั้นต้องไม่งับลง เพราะเอาออกมาไม่หมด เหลืออยู่ตัวหนึ่ง ถ้าเป็นรถจะเรียกว่าบังโคลน แม่ทาก็พยายามสวมหัวเข่าท่อนขาจนสามารถนำมาประกอบเข้าล็อคได้ตามปกติทั้งสองด้าน เมื่อประกอบกระดูกทุกส่วนเข้ากันดังเดิมแล้ว ทันใดนั้นส่วนที่เป็นเนื้อหนังก็ปรากฏขึ้นมาที่โครงกระดูกอย่างอัตโนมัติ เมื่อพวกกิเลสจิตมารมองเห็นว่าแม่ทาทำได้ดังนี้มันจึงค่อยๆ พากันเดินโบกมือลาจากไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเวิ้งน้ำ


เสียงประหลาดของผู้เฒ่า !?!?


เสียงประหลาดของผู้เฒ่า !?!?


เมื่อการเพียรฝึกสติรักษาจิตอยู่กับพุท-โธของแม่ทาเข้าสู่ปีที่ 6 ที่บ้านเรือน ต่อมาก็ได้ยินเสียงคล้ายคนกระแอมไอเย็นยะเยือกอยู่ข้างๆ หู แม่ทาก็นึก “โอ้ขึ้นมาแล้วก็ส่งเสียงมาก่อน ไม่ใช่เสียงอะไร? เราไม่สนหรอก” ต่อมาแม่ทาก็ได้ยินเสียงไม้เท้าย่ำต๊อกๆๆ แล้วส่งเสียงมากระทบกับโสตทวารในขณะที่แม่ทานั่งภาวนาพุท-โธ “โอ้ ขอพักขอหยุดซักคืนจะได้บ่หนอ ?” แม่ทาก็ตอบว่า “พักหยุดอะไรก็ช่างเถอะที่อยู่ที่พักหาเอาเอง เพราะหาให้ไม่ได้ไม่มีเวลาว่างหรอก” แม่ทาก็ได้ยินเสียงตอบกลับมา “มองดูให้คักๆแน ก่อนจะพูดอะไร มันรุ่นพ่อหรือรุ่นลูก” แม่ทาก็ร้องตอบ “รุ่นอะไรก็แล้วแต่ ถ้าคนดีไม่หันมาหรอก ยังนี้หรอกเวลาเขาทำอะไร เขาทำอย่างไรอยู่จะมาอยู่ใกล้เขาทำไมถ้ารู้จักทำอย่างไรก็ไม่พูดด้วยหรอกรีบหนี” แล้วเสียงเย็นเยือกนั้นก็ตอบมาว่า “ถ้าไม่พูดด้วยก็จะไปหรอก” สักพักเสียงไม้เท้าก็ดังต๊อกๆ แต๊กๆ จากไป นับตั้งแต่ฝึกบำเพ็ญสติรู้อยู่กับพุท-โธได้ย่างเข้าปีที่ 6 แม่ทาก็มักจะได้ยินเสียงคล้ายผู้เฒ่า เสียงเย็นเยือกมากระทบกับโสตประสาทเป็นประจำ แต่ก็ยังไม่ทราบว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร ? เพราะมีแต่เสียงปรากฏออกมาไม่เคยเป็นรูปกายสักที แล้วเสียงประหลาดของผู้เฒ่าผู้นี้เป็นใครกัน มีความสำคัญต่อชีวิตต่อจิตใจของแม่ทาอย่างไร?

นิมิตจิตมารมาหลอกให้ขาดสมาธิ


นิมิตจิตมารมาหลอกให้ขาดสมาธิ

แม่ทาเพียรฝึกสติอยู่อย่างตั้งใจก็ได้ปรากฏนิมิตเห็นรูปร่างของตนอีกร่างหนึ่งเข้ามาหาก็นึกในใจ “เอ้ ! ไม่ใช่เราเป็นปอบหรือ โอ ! จะเป็นอะไรก็ช่างขอให้เราสบายใจอยู่กับ พุท-โธก็พอ” แม่ทาเริ่มเห็นสิ่งต่างๆ เช่นนี้ก็ไม่รู้จะพูดให้ใครฟังได้ กลัวถูกเขากล่าวหาว่าเป็นบ้าเป็นประสาท แต่สติของแม่ทายังตั้งมั่น เป็นอะไรก็ช่างเราจะฝึกอยู่อย่างนี้อยู่กับพุท-โธ นั่งภาวนาไปบริกรรมพุท-โธไป จิตสงบก็ได้เกิดนิมิตรูปกายของแม่ทา (จิตมาร) เดินเข้ามาหาแม่ทา “เฮ้ย ! จะไปนั่งให้มันอดหลับอดนอนทำไม นอนคือพวกเรานี่ พวกเรานอนแล้วนะ” พอสิ้นเสียงดังรับทราบ มารก็แสดงนิมิตหลอกให้คลายจากการฝึกสติจับพุท-โธ จิตแม่ทาก็ได้มองเห็นกายตนมานอนให้ดู จิตของแม่ทาก็นึกว่า “เป็นอะไร มันทำไมมาเรียกเราไปนอน เราไม่นอน” นิมิตรูปกาย (จิตมาร) เห็นแม่ทาพูดเช่นนั้นก็ร้องบอก “โอ้ มึงไม่นอนแล้วมึงจะได้อะไร ? มึงจะได้ไปนิพพานอยู่หรือ จ้างซะเท่าขี้มึงไม่ได้ไป กูจะดึมังนอนอยู่นี่แหละ” จิตแม่ทาที่มีสติก็ร้องบอก “ทำอย่างไรกูไม่นอนแน่” ขณะที่แม่ทานั่งบริกรรมพุท-โธอยู่นั้นก็ได้มีนิมิตต่อมาปรากฏเป็นช้างตัวใหญ่วิ่งตุ๊บตั๊บเข้ามาแล้วก็ง้างเท้ายกขึ้นจะเหยียบร่างแม่ทา แม่ทาก็ร้องบอก “เออ ! ถ้ามึงจะเหยียบก็เหยียบเลยเหลือไว้แต่จมูก” ช้างตัวใหญ่ที่ปรากฏในนิมิตท้าทาย “โอ้มึงเก่งน้ออีนี่” จิตแม่ทาก็บอกว่า “ก็ไม่เก่งปานใด ถ้าจะเหยียบกันก็เหยียบไปหมดซะ แต่เหลือไว้แต่จมูกก็พอได้ไว้หายใจ แต่ถ้ามึงถูกจมูกกูมึงระวังโลด” จิตของแม่ทาในขณะนั้นก็ยังหวั่นกลัวอยู่ก็พูดขู่ช้างไป ช้างตัวใหญ่นั้นมันก็ค่อยๆ ถอยออกไป ร้องบอกแม่ทาว่า “กูทำอะไรไม่ได้เลยกับมึง” นิมิตที่จิตแม่ทาเจอช้างใหญ่ก็หายไป จากนั้นก็ปรากฏนิมิตเป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเป็นรูปกาย (จิตมาร) ของแม่ทา ได้พากันเดินเข้ามาหาแม่ทา (จิต) ในนิมิตเดินเข้ามาแต่หัวเข่าแม่ทา “มึงได้ยินไหม ? กูเรียก บ้านเขาเก็บเห็ดได้ กูมาชวนไปเก็บเห็ดนะนี่” จิตแม่ทาก็ตอบพวกมาร “ไม่ไปหรอก ไม่อยากไป” ร่างนิมิตมารร้องบอกแม่ทา “ไปต้องไปเก็บเห็ดกับกู ไปด้วยกัน” จิตแม่ทาเห็นนิมิตนั้นมองดูก็มี 4 คน รูปร่างของคนกลุ่มนั้นก็มองเห็นคล้ายตัวเองทั้งหมด ก็นึกในใจว่า “มันเป็นอะไร เขาทำไมมีรูปร่างเหมือนเราแม้” แล้วร้องบอกออกไปว่า “โอ้ย เราไม่ไปหรอก เราเหนื่อย เราจะนั่ง (ภาวนาพุท-โธ) มั่นอยู่นี่แหละ” กิเลสมารมันพากันพูดว่า “มันชนะเราจริงๆนะ ไปเราไป” ร่างกายนิมิตที่เกิดจากกิเลสจิตมารก็หายไป แม่ทาก็ยังคงนั่งภาวนาอยู่กับพุท-โธอยู่อย่างนั้นต่อมา ภาพกิเลสก็พากันมาปรากฏเข้ามานั่งข้างๆ แม่ทาพากันมานั่งอย่างเป็นระเบียบแล้วกราบพับลงข้างๆ แล้วก็บอกว่า “ขอเถอะ ขอหน่อยทำอย่างไร ถึงทำได้ขนาดนี้ ขออนุญาตทำอย่างนี้มาได้นานขนาดไหนแล้ว” จิตแม่ทาก็บอกว่า “นานขนาดไหนกูก็ไม่พูดกับมึงดี ไม่อยากพูดกับมึง” กิเลสจิตมาร “โอ้ อย่าคร้านเถอะ ข้าน้อยก็อยากรู้ อยากปฏิบัติแท้ๆ อยากปฏิบัติจริงๆ มันบ่อได้จริง มึงพูดได้แต่คือมึงแม้อีอันนี้” จิตแม่ทาตอบว่า “ว่าอะไรก็ไม่สน ไม่ได้ยินซะด้วย” แม่ทามุ่งมั่นเพียงอย่างเดียวคือฝึกสติรู้ให้ยิ่งกว่านี้จึงตำหนิกิเลสจิตมารที่มาปรากฏคอยหลอกให้จิตหลงไปว่า “พวกสูนี้ขี้โกหกตอแหลพูดอยู่ทุ่งได้ยินอยู่บ้าน” กิเลสมารก็แย้ง “ฮือ ไม่ได้ไปหัวเราะอยู่ทุ่งซะที มีแต่อยู่เรือน” จิตแม่ทาก็ได้ตอบกิเลสออกไปว่า “อยู่เรือนกูก็รังเกียจพวกเจ้า ไม่ยอมพูดด้วยหรอก” ว่าแล้วแม่ทาก็หันหน้าหนี กิเลสมารที่แสดงในรูปกายนิมิตก็หันตามมาพูดด้วย “เออท่านว่าจะหนีได้ ท่านว่าท่านจะนั่งได้” แม่ทาก็ร้องบอกว่า “ไม่เราไม่อยากพูดกับพวกเจ้าหรอก ร่ำไรไปๆ พวกเจ้าจะไปไหนก็รีบไป ถ้าไม่รีบไปจะเหยียบพวกเจ้าให้ไส้แตกเดี๋ยวนี้แหละ” นิมิตนั้นก็หายไป แม่ทาฝึกจิตของตนให้สติอยู่กับพุท-โธในช่วงเวลา 5-6 ปี ก็ต้องยิ่งระวังกิเลสที่จะเข้ามากระทบจิต สติระมัดระวังยิ่งกว่าในช่วงเวลา 3-4 ปี เฝ้าดูสติอยู่กับพุท-โธ อย่างเดียว เพื่อให้จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ (จิตมีอารมณ์เดียว) ด้วยถ้าหากขาดสติก็จะหลงไปกับสิ่งเหล่านี้หลงลืมจิตออกนอกกาย แม่ทาก็สามารถรักษาสติคอยระวังจิตไว้ตลอด สติรู้ตัวตลอดเผลอไม่ได้ บ้างกิเลสจิตมารก็จะมาปรากฏแสดงตนบอกยั่วยุต่างๆ “มึงเก่ง ให้มึงนั่งตายอยู่นี้ซะ” จิตแม่ทาก็ตอบว่า “ไม่ได้เก่ง แต่ว่ากูขี้เกียจไป (จิตส่งออกนอกกายที่มีสติกับพุท-โธ) พวกเจ้ามีทางไปก็ไปเลย ไม่ต้องมาชวนกูอีกต่อไปนี้” จิตกิเลสมารต่างๆ ก็ค่อยๆ หายไปบ้างก็มาพูดจาเยาะเย้ยเพื่อให้จิตแท้ของแม่ทาหลงกับกิเลส “ถ้ามึงเก่งให้มึงเหาะซะเด้อ ถ้ามึงดีให้มึงตายกับพุท-โธซะ”

นิมิตเป็นอย่างไร ? ในทางสมาธิ





นิมิตเป็นอย่างไร ? ในทางสมาธิ




คำว่านิมิตในด้านจิตตภาวนานั้นประกอบด้วยอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตนั้นเมื่อนักภาวนาเจริญภาวนาไปจนจิตสงบบ้างจะเห็นเป็นรูปบุคคลภายนอกเดินมาหรือผ่านมาให้เห็น อาจเป็นบุคคลที่ตายไปแล้วก็มีหรืออาจปรากฏเป็นครูบาอาจารย์รูปใดรูปหนึ่งผ่านมามากบ้างน้อยบ้าง บ้างก็เดินมาหาเราขณะเจริญภาวนาบ้าง ก็ปรากฏเห็นเป็นรูปภูเขา ห้องแถว โบสถ์ วิหาร ปฏิภาคนิมิต คือการปรากฏนิมิตภาพบุคคลวัตถุต่างๆ มานั่ง มาลอยอยู่ ลอยอยู่เฉพาะหน้าหรือตายลงเฉพาะหน้า เราจะกำหนดให้ภาพนั้นไกลออกไปก็ได้ กำหนดให้ภาพนั้นสิ่งของนั้นใกล้เข้ามาก็ได้ เพ่งให้ร่างกายเน่าเปื่อยเหลือแต่โครงกระดูกก็ได้ นึกต่อไปว่ารูปนี้จะเจ็บจะมีตายหรือไม่ ? นึกในใจว่าเขาตายรูปก็แสดงความตายลงไป เมื่อนึกในใจว่ารูปนี้จะเน่าเปื่อยไหม ? รูปนั้นก็จะเกิดความเน่าเปื่อยปรากฏให้เห็นขยายให้ใหญ่ให้เล็กก็ได้ตามต้องการ กำหนดให้เห็นอยู่ไกลๆ หรือใกล้ๆ บ้างก็ได้ บ้างก็ปรากฏเป็นรูปร่างที่น่ากลัวก็ให้ตั้งสติรู้เท่าทัน บางครั้งแลบลิ้นปลิ้นตา นั่นมิใช่เปรตมิใช่ผีเป็นเพียงสังขาร สัญญาของเราปรุงแต่งไปเอง เป็นสังขารภายนอกหลอกจิตใจตน มิใช่ของจริงของจังอะไร สักแต่ว่าเป็นรูปที่เห็นให้พิจารณารู้ว่าเป็นของไม่จริง เหมือนเราดูภาพยนตร์เมื่อมีนิมิตเกิดขึ้นให้ตั้งสติเกิดขึ้นให้ตั้งสติระลึกรู้แล้วให้วางเฉย กำหนดพิจารณารู้ว่านิมิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง เกิดจากสัญญาสังขารปรุงแต่งขึ้น ถ้าเห็นเป็นภาพสวยงามหรือน่าเกลียดน่ากลัวก็อย่ายินดียินร้ายเพียงแต่มีสติให้มั่นส่วนอสุภนิมิตนี้สำคัญเป็นสิ่งมีคุณค่าแก่นักภาวนา บางคนเกิดเห็นได้ง่ายพอจิตรวมลงไปก็เห็นร่างกายของตน (เรา) เป็นศพเน่าเปื่อยลงหมด ร่างกายเนื้อหนังเส้นเอ็นอวัยวะทั้งหลายผุพังสลายลงหมดเหลือแต่กระดูกนั่งอยู่ จากนั้นก็พิจารณาส่วนต่างๆ ของร่างกายสมาธิจะก้าวหน้า อสุภนิมิตนี้เป็นสักการบูชาของพระอริยเจ้า....ครั้นจะถามถึงว่านิมิตภาวนากับการนอนหลับฝันต่างกันอย่างไร? ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต กล่าวว่านิมิตในภาวนามันชัดเมื่อจิตค่อยหรี่รวมลงมารู้สึก อยู่รู้อยู่เฉพาะใจ รวมเข้ามารู้สึกเบาเนื้อเบากาย เบาไปหมด แล้วพอจิตรู้ลงไปบางทีก็เกิดนิมิตพร้อมแสงสว่างพร้อม บางทีคลับคล้ายเหมือนจะหลับแล้วเกิดสว่างขึ้นเห็นรูปร่างต่างๆ แต่สติ(ความรู้สึกตน)มั่นอยู่ นิมิตสมาธิมีสติแต่ภาพที่เห็นเมื่อนอนหลับฝันไม่มีสติ นิมิตในสมาธิมีจิตสำนึกในสมาธิ...อสุภนิมิต หมายความเอาที่พิจารณาเห็นร่างกายของเราเน่าเปื่อยเป็นซากศพหรือเห็นร่างกระดูกหมดทั้งตัวหรือเห็นแต่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเน่าเปื่อย สภาพตามความเป็นจริงของสังขารร่างกายไม่ว่าจะเป็นเราเป็นเขาเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ ที่สุดแห่งร่างกายจะย่อมเป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นเช่นนี้จึงนับได้ว่าเป็นการเจริญสติวิปัสสนากรรมฐาน จิตรู้จิตเห็นด้วยปัญญาแห่งความเป็นจริง จิตย่อมเบื่อหน่ายคลายความหลงในรูปร่างเรารูปร่างเขา การเพียรจะอยู่ในอิริยาบถใดเดินจงกรมนั่งภาวนา ยืนภาวนา นอนภาวนา ทุกอิริยาบถให้มีสติรู้กับผู้รู้คือรู้ในองค์ภาวนา ในกรรมฐาน 40 อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมากสายปฏิบัตินิยมใช้สติอยู่กับองค์ภาวนา พุท-โธ อยู่ทุกอิริยาบถ พุทโธเป็นพุทธานุสสติการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การบำเพ็ญสติเอาชนะสังขารไม่ให้นึกให้คิดมุ่งแต่ความสงบอันเดียว เอาความสงบเป็นพื้นฐาน บางทีจิตมันไม่ยอมสงบมันรู้อยู่เฉพาะหน้าไม่ลงถึงใจ วิธีแก้ก็ให้กำหนดสติตามลมหายใจเข้าสู่ภายในกายให้ผู้รู้ไประหว่างจมูกกับลำคอว่าอยู่อย่างไรแล้วจึงกำหนดจิตสติตามรู้ไปในอวัยวะส่วนต่างๆ ยังภายในร่างกาย บางครั้งจิตไม่ลงจริงๆ รู้อยู่เฉพาะหน้า สติ(จิต) มีกำลังบ้างแล้วให้กำหนดเอาน้ำมันก๊าด น้ำมันเชื้อเพลิงราดให้เปียกชุ่มในเสื้อผ้าทั่วร่างกาย (กำหนดจิต) จุดไฟเผา เมื่อได้นิมิตเห็นไฟลุกพรึบขึ้นร่างกายก็ไหม้ การเดินจิตต่อไปให้พิจารณาตลอดตั้งแต่เท้ายันศีรษะโดยอนุโลมปฏิโลมทั้งหน้าทั้งหลัง อันนี้จะเป็นอสุภสัญญา ใช้สัญญาบางทีจิตก็สงบเป็นสมาธิจิตได้บ้างก็พิจารณาลอกเนื้อหนังให้พิจารณารู้ตามจริงมิใช่คาดคะเนให้พิจารณาเห็นเนื้อเลือดไหลแดงทั่วตัว พิจารณาเส้นเอ็นกำหนดจิตอันเป็นการท้าทายต่อ อำนาจกิเลสที่ได้ครอบครองหัวใจสัตว์โลก ให้ถูกครอบงำด้วยโมหะ ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลงมาเป็นเวลาช้านาน ความวุ่นวายสับสนปัญหาต่างๆ สารพัดเกิดมาจากที่ใด ก็เพราะความหลงในรูปในสัมผัสมีทิฐิมานะถือตัวถือตน นี่ก็ของกูนั่นก็ของกู สิ่งต่างๆในโลกนี้ต้องนำมาบำรุงบำเรอใส่กายโดยที่ไม่รู้จักอิ่มจักพอเป็นการพิจารณาธาตุขันธ์ร่างกายให้กำหนดจิตให้ควักเอาลูกตาออกมาพิจารณาดูอวัยวะต่างๆ ในร่างกายแล้วกระชากมันออกมา ดูซิมันจะเอากิเลสใดมาถือตนถือตัวหรือไม่ หากไม่กล้าก็แสดงว่าจิตยังมีกำลังอ่อนต่อกรก็ยังแพ้กิเลสอยู่นั่นเอง กำหนดให้รู้ดูให้เห็นตามสภาวะความเป็นจริง เราติดสักกายทิฐิคือยังติดยังหลงอยู่ในร่างกายของตน ทำอย่างนี้เป็นการพิจารณากำหนดให้รู้ว่ากายให้รู้ว่าสังขารร่างกายเราตายแตกดับปราศจากวิญญาณที่ครอบงำ ให้มีสติรู้กับผู้รู้จิตจะลอยเด่น พิจารณาให้รู้เห็นกำหนดดูให้เขาเอาไม้มาทำโลงใส่แล้วนำไปเผาไฟให้กำหนดดูให้เขาเอาไม้มาทำโลงใส่แล้วนำไปเผาไฟให้กำหนดดูว่าไฟที่ไหม้นั้นไหม่อย่างไร? ไหม้แขนขา ลำตัว ศีรษะ ดวงตามันแตกออกมาอย่างไร บางส่วนไม่ไหม้เขาก็เอาไม้แหย่ไปใส่เลือดพุ่งทะลักออก ผลสุดท้ายก็ถูกไฟไหม้จนหมดร่างกาย คงเหลือแต่เถ้าถ่านและอัฐิธาตุ กำหนดให้มีฝนตกใหญ่ๆ ลงชะลงมาให้รู้เห็นกระดูกสีขาว พระท่านก็ไปบังสุกุลล้างกระดูกเอาใส่ที่บรรจุเช่นผ้า ไม่นานวันผ้าที่ห่อกระดูกที่ทรุดสลายลงดิน ดินมันก็ทับถมไปกลบกระดูกที่เป็นเถ้าถ่าน มันก็กลายเป็นมีต้นไม้เถาวัลย์หญ้าเป็นป่าดงเหมือนเดิม ร่างกายของคนทุกคนมันไม่มีสาระแก่นสาร ธาตุดินมันก็เป็นธาตุดินอยู่อย่างนั้น ธาตุน้ำก็กลายเป็นน้ำไป ธาตุลมก็กลายเป็นลม ธาตุไฟก็กลายเป็นไฟในโลก พิจารณาในปัญญาให้รู้เห็นร่างกายของคนเราไม่ได้สาระแก่นสารใดๆ เลย จิตรู้จิตเห็นจิตคลายจิตละจากธาตุขันธ์ ร่างกายตัดขาดด้วยปัญญาในการสังหารกิเลสละความยึดมั่นถือมั่นในกายเหมือนบุคคลบ้วนน้ำลายลงพื้นแล้วฉันใด จิตนั้นก็ย่อมไม่แสวงที่จะเก็บน้ำลายนั้นนำมาดื่มกินฉันนั้น ปัญญาพิจารณารู้เห็นความเป็นจริง จิตไม่มีความสงสัยในคุณพระพุทธศาสนา จิตดวงนั้นที่อยู่ในกาย มีศีลตามวิสัยเพศตนสมบูรณ์ละความยึดมั่นในกายตน ละสักกายทิฐิ ตัดโทสะขาดจากจิต ความเป็นพระอริยบุคคล พระอริยสงฆ์ก็บังเกิดขึ้น อริยบุคคล พระโสดาบัน ย่อมบังเกิดประจักษ์แจ้งในใจของผู้นั้น ต่อไปจิตจะได้พิจารณาในการลดละในด้านกามคุณ โมหะ(ความหลงในภพในชาติ) เมื่อจิตยังมีกามราคะ จิตนั้นใจนั้นก็ย่อมมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ละกามราคะ ทำลายโมหะขาดสะบั้นจากจิตใจผู้ใด คุณธรรมพระอรหันต์อยู่มิไกล...สำหรับดวงจิตนั้น

แม่ชีนารีมาสอนให้ฝึกสติ พุท-โธ


แม่ชีนารีมาสอนให้ฝึกสติ พุท-โธ


แม่ทาเมื่อเห็นดังนั้นก็วิตกเกิดความกลัวตายขึ้น จึงได้เรียกลูกเข้ามาใกล้ๆแล้วร้องบอกว่า "อย่าไปเล่นไกลนะ" ดังนั้นลูกที่ยังเด็กเล็กก็มานอนข้างๆแม่ทา นอนเล่นหนุนตักคลอเคลียอยู่กับแม่ทา แล้วแม่ทาก็ได้เห็นแม่ชีรูปหนึ่งหน้ามนใสมาปรากฏรูปกายให้เห็นอย่างเด่นชัดในนิมิต แม่ทาก็ได้พูดสนทนากับแม่ชีผู้นั้นก็แนะนำชื่อ "แม่ชื่อแม่ชีนารีเด้อ" แม่ทาจึงถามแม่ชีต่อไป "คุณแม่อยู่วัดไหนคะ" แม่ชีนารี "โอ๋ แม่ก็อยู่วัดสุทธาวาสนั่นแหละลูก ลูกจะนอนทำไป เอาพุทโธไม่ดีหรือลูกหล่า (หมายถึงสรรพนามผู้ใหญ่เรียกผู้น้อยลูกหล่าคือลูกคนสุดท้าย) จิตใจจะได้ดีขึ้น แม่ก็หายจากโรคภัยก็จากตัวนี้แหละ" ลูกถามต่อ "แม่ๆ ตะกี้พูดอะไร?" แม่ทาลืมตาตอบลูก "แม่บ่ได้ฝันน่ะยังมีสติรู้ตัวอยู่" ลูกถามต่อ "แม่ๆ ตะกี้พูดอะไร?" แม่ทาก็ตอบลูกออกไปว่า "พูดอะไรก็ให้ได้พูดกับท่านก่อน" ลูกก็ได้ออกไปเล่นอยู่ไกลๆ ออกไป แม่ชีนารีจึงถามต่อว่า "เจ้าเป็นอะไรล่ะจึงมานอน" แม่ทาตอบ "โอย ! ไปไหนก็ไม่ได้ป่วยใจ" แม่ชีนารีก็บอกว่า "โอ๊ย ! ป่วยใจมันไม่ยากนะลูกหล่า มันไม่ยากหรอกแม่ก็เคยป่วยใจนะ" แม่ทาก็ถามว่า "ป่วยใจทำอย่างไรคุณแม่ มันทำไมป่วยหลายแท้" แม่ชีนารีก็ตอบให้กำลังใจว่า "ไม่ตาย ยังไงลูกก็ไม่ตาย" แม่ทาตอบ "โอย ! คุณแม่ถ้าลูกไม่ตายบุญผลานิสงส์มากนะ" แม่ชีนารี "แม่ไม่ให้เจ้าตาย แม่จะให้เจ้านี้เหยียบฟ้าได้ เหยียบดินได้" แม่ทาร้องทัก "โอย ! คุณแม่อย่ามาพูดสูงเช่นนั้น ฟ้าก็เป็นฟ้า ดินก็เป็นดิน ดินเราก็ไต่ตลอดแต่ว่าฟ้าเราจะไต่ไม่ได้" แม่ชีแย้ง "ไต่ได้นะลูก ต้องไต่ได้นะ แม้แต่แม่ยังไต่ได้ลูกก็ต้องไต่ได้" แม่ทาร้องตอบ "ไม่ใช่หรอกคุณแม่เอ๊ย คุณแม่มีอะไรจะสอนดิฉันก็สอนมาซะ ถ้าความที่จะไปไต่ฟ้านี้มันไต่ไม่ได้หรอก" แม่ชีนารี "ลูกหล่าเอาอย่างนี้ซะ ให้เจ้าเอาพุท-โธไปจนกว่าจะครบ 7 ปี เพราะว่านามชิน(บุญกุศลวาสนา) ของเจ้านี้มีเวลาอีก 7 ปี"แม่ทารับคำแนะนำจากแม่ชีนารีแต่ก็คิดถึงอายุขัยของตนว่าในอีก 7 ปีต้องตายแน่นอน ต่อมาแม่ทาจึงได้สั่งเสียเพื่อนบ้านว่า "ภายใน 7 ปีนี้ถ้าเราตายนี้เอาเชือกผูกคอไล่ลากไปเลยนะ ไม่ต้องหามมันเพราะมันไม่มีพี่น้องตายแล้วให้นำไปที่หัวนาอย่าไปเรียกหาใคร ถ้าจะฝังก็ฝังถ้าไม่ฝังก็เอาฟืนไปเผา แต่ว่าห้ามหาม (ศพ) เป็นเด็ดขาด" เหตุที่กล่าวเช่นนั้นด้วยกลัวเขาจะรังเกียจตัวเอง เพื่อนบ้านก็ร้องบอก "โอ๊ย ! ถ้าเป็นอะไรพวกข่อยจะจัดการเอาดอก" หลังจากสั่งเสียเพื่อนบ้านแล้วแม่ทาก็นึกถึงคำของแม่ชีนารีที่มาบอกทางนิมิต "ท่านมาบอกเราเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ไม่ได้ล่ะต้องเอาคำของแม่ชีนารีที่มาบอกทางนิมิต "ท่านมาบอกเราเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ไม่ได้ล่ะต้องเอาคำของแม่ชีนารีมาใช้ ท่านมาบอกเราก็ไม่ได้วิ่งทำ ไม่ได้ตากฝนทำ เราทำอยู่ที่บ้านเป็นอย่างไร? ทำไมเราจะทำไม่ได้" ดังนั้นแม่ทาจึงได้น้อมนำเอาคำบริกรรมพุท-โธ มาภาวนานอนอยู่เฉยๆ สติก็ระลึกอยู่กับ พุท-โธ นั่งก็มีสติอยู่กับ พุท-โธ ข้าวอาหารก็ยังกินไม่ได้แต่ก็มีเพียงคำว่า พุท-โธ เพียงอย่างเดียวเอาจิตจดจ่อเพียงอย่างเดียวมีสติอยู่ที่ พุท-โธ ฝึกสติจิตอยู่ในองค์บริกรรมอย่างนี้มาได้ 2 วันเพราะมั่นใจในคุณวิเศษของคำว่าพุท-โธต้องมีแน่นอน เช้าวันนั้นได้มีแม่ชีรูปหนึ่งชื่อแม่ชีใสมาจากวัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู มาเห็นสภาพที่แม่ทานอนซมคล้ายคนใกล้จะตายก็มาพูดให้กำลังใจแล้วแนะนำให้แม่ทาฝึกสติโดยเอาคำบริกรรมพุท-โธเป็นสติ ก็ยิ่งทำให้แม่ทาเกิดความเชื่อมั่นว่าคำว่า พุท-โธ นี้ต้องดีต้องวิเศษแน่นอนแม่ชีใสถึงได้แนะนำตรงกับที่ได้รับคำแนะนำทางนิมิตจากแม่ชีนารี มั่นใจในคำแนะนำเช่นนี้เพราะต้องดีแน่ๆ ท่านคงไม่แนะนำสิ่งที่ไม่ดีให้ตนแน่ พุท-โธนี้ต้องดีแท้แน่นอนอยู่ก็มีสติ อยู่กับพุท-โธ นั่งอยู่ก็ฝึกพุท-โธ ไปอย่างนี้ตลอดเพียงลำดับผู้เดียว ฝึกนานวันต่อมาแม่ทาก็คิดอยากจะดื่มน้ำ สามีคือพ่อบุญเหลือก็ได้ไปตักน้ำมาให้ดื่ม พอแม่ทาดื่มน้ำลงสู่ลำคอปรากฏว่าน้ำก็ไหลลื่นลงไปสู่กระเพาะโดยไม่กระฉอกออกมาเหมือนครั้งก่อนๆ แม่ทานึกในใจ "โอย กูกลืนน้ำลายได้แล้ว ชะตาเรายังไม่ถึงที่ตายหรือเปล่าหนอ? แต่ว่าท่านแม่ชีนารีท่านว่า 7 ปีนี้เราต้องตาย ถ้าจะตายก็ขอให้ได้รู้จักกับพุท-โธเสียก่อน" แม่ทาก็มุ่งมั่นจิตเพียงอย่างเดียวกับคำว่า พุท-โธๆๆ อยู่ตลอดเวลา โดยไม่ยอมให้ขาดสติด้วยความรักสงเคราะห์ต่อผู้เป็นภรรยาของพ่อบุญเหลือ ไม่ทอดทิ้งยามทุกข์ยามยากไม่ว่าจะไปไหนก็จะพาแม่ทาไปด้วย ครั้งหนึ่งพ่อบุญเหลือได้อุ้มแม่ทาไปนั่งบนแผ่นไม้เพื่อนั่งขับถ่ายปลดทุกข์ สมัยนั้นส้วมหลุมดังเช่นในปัจจุบันก็ยังไม่มี มีแต่ส้วมหลุมที่ขุดดินลึกลงไปแล้วนำไม้ไปวางพาดแล้วก็นั่งปลดทุกข์ลงในหลุม ในขณะนั้นแม่ทาก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เดินก็ยังไม่ได้ ได้แต่นั่งภาวนา พุท-โธ พ่อบุญเหลือก็อุ้มแม่ทาไปปลดทุกข์ในระหว่างรอแม่ทา พ่อบุญเหลือก็ออกไปทอดแหหาปลาจนเพลินกับการหาปลา จนลืมเวลาไปว่าภรรยาของตนนั่งปลดทุกข์อยู่ แม่ทานั่งอดทนอยู่อย่างนั้น หลังจากปลดทุกข์ขับถ่ายแล้วเพราะเดินไปไหนไม่ได้ นั่งฝึกสติอยู่กับพุท-โธ ตลอดอารมณ์ กลางแดดที่ร้อนจัดในเวลากลางวัน นั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเกือบค่อนวัน เมื่อพ่อบุญเหลือนึกได้จึงได้รีบกลับมาอุ้มเอาภรรยากลับบ้าน ตลอดเวลาที่นั่งกลางแดดเปรี้ยงๆ แม่ทาก็มิยอมปริปากบ่นอะไรสักคำ นั่งสู้ด้วยขันตินิ่งอยู่อย่างนั้น เมื่อแม่ทาได้ฝึกสติอยู่กับ พุท-โธ อาการป่วยใจก็เริ่มดีขึ้น อาการทางกายก็ดีขึ้นตามไปด้วย พอที่จะมีเรียวแรงที่จะพยุงตัว สามารถช่วยตัวเองได้ เริ่มขยับตัวได้ ต่อมาพ่อบุญเหลือมีธุระที่จะต้องไปที่กรุงเทพ 1 คืน จึงได้ฝากให้หลานมาช่วยดูแลแทนหลังจากที่พ่อบุญเหลือกลับมาบ้านก็ได้มาเล่าให้แม่ทาฟังว่า "ข่อยไปอยู่น้น ก็ได้ฝันว่าแม่ชีมาบอกว่าเมียมึงไม่ตายหรอกนะลูกเอ๊ย" แม่ทาได้ฟังความจากสามีก็ไม่กล้าเล่าเรื่องที่แม่ชีมาหาเช่นกัน เพราะรู้ว่าเป็นแม่ชีผู้เดียวกันกับที่ได้มาแนะนำให้ฝึกสติอยู่กับพุท-โธ แม่ทาได้แต่นิ่งเฉย พ่อบุญเหลือจึงได้ถามแม่ทาว่า "เจ้าทำอะไร ทำไมเจ้าไม่ผอมเหมือนเมื่อก่อน ทำไมสีผิวดูสดใสขึ้น" แม่ทาจะเล่าถึงเหตุผลก็ไม่กล้าบอกสามีว่าแม่ชีมาบอกว่าให้เอาพุท-โธ ก็กลัวว่าสามีจะว่าเป็นประสาทกลัวว่าจะถูกตำหนิว่าเป็นพวกภูตผีวิญญาณมาหา ไม่ใช่แม่ชีมาหา เมื่อแม่ทาฝึกสติอยู่กับพุท-โธได้ 3 เดือน ก็เกิดความอยากเดินจึงบอกกับสามีว่า "พ่อไปเอาเชื่อกมาขึงกับต้นเสาให้หน่อย ข่อยไม่ให้เจ้าจับหรอกข่อยจะเดินเอง" พ่อบุญเหลือจึงได้ไปหาซื้อเชือกมาแล้วนำมาขึงรอบเอว บ้านแม่ทาก็ค่อยๆ พยุงกายเดินจับเชือกไปแต่ก็เซไปเซมา ใครผ่านมาเห็นก็ถามว่า "เอ้า ! ทำไมเจ้าเดินได้ เจ้ากินยาอะไร? ถึงได้เดินได้" แม่ทาก็ไม่กล้าบอกเขาว่ามีพุท-โธ เป็นยาดี "ไม่มียากินแล้วแต่มันจะตายแล้วแต่มันจะเป็นตายวันไหนก็ดีไม่ตายก็ดี"เมื่อแม่ทาได้ฝึกเดินอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ ร่างกายก็แข็งแรงมีเรี่ยวมีแรงดีขึ้น จิตใจก็ไม่ได้หวั่นไหวอะไรเหมือนดั่งว่าใจนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นใจใหม่ที่หนักแน่นมั่นคงมาแทนที่ ลูกๆ ก็เริ่มโต เมื่อพอที่จะมีเรี่ยวแรงก็มาทำงานช่วยสามี ทำไร่ทำนา เลี้ยงควาย ซักผ้า เผาถ่าน ทำกับข้าว ปูผ้านอน ทำงานบ้านสารพัดอย่างชนิดที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเดินไปนาก็ท่องพุท-โธไปตลอดทาง พอหว่านข้าวก็มีสติท่องพุท-โธในใจจนเสร็จ เดินกลับบ้านก็ท่อง พุท-โธๆๆๆ ตลอด ไม่ว่าจะทำกิจการงานใดก็แล้วแต่ก็ไม่ลืมสติอยู่กับพุท-โธเป็นอารมณ์อยู่ทุกขณะจิตรู้ลมหายใจเข้าออก หายใจก็อยู่กับพุท-โธ ทุกอิริยาบถจิตก็ไม่ส่งส่ายออกไป นอกจากอารมณ์พุท-โธอยู่อย่างนั้นยกเว้นเพียงแต่เวลานอนเท่านั้นที่ขาดสติอยู่กับพุท-โธ เมื่อตื่นมารู้สึกตัวสติก็อยู่กับพุท-โธ หมั่นเพียรด้วยความมีสติอยู่กับพุท-โธ ของแม่ทานี้ปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เอาเพียงจิตเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นกับคำว่าพุท-โธ ความรู้ใดๆ ด้านธรรมะก็ไม่รู้เพราะอ่านหนังสือไม่ได้เขียนไม่ได้ มีสติรู้อยู่เพียงอย่างเดียวขณะหายใจเข้า-พุท หายใจออก-โธ อยู่ในอารมณ์เดียวกับจิตเพียงอย่างเดียวพ่อแม่ครูบาอาจารย์เคยอบรมสั่งสอนว่า ไม่มีแรงอันใดเท่าแรงของกฎแห่งกรรมและการที่จะชดใช้กรรมที่ดีนั่นให้นั่งภาวนาชดใช้กรรม จึงจะถึงเจ้ากรรมนายเวรอุทิศให้ถึงจะง่ายจึงตั้งจิตใจอย่างแน่วแน่เอาจริงเอาจังต่อการปฏิบัติธรรมเมื่อมีสิ่งมากระทบให้คิดปลง อีกอย่างจึงน้อมเอาธรรมที่ได้รับฟังจากครูบาอาจารย์ที่เคยได้รับปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังในการกำหนดจิตจะต้อง มีเจตจำนงแน่วแน่ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการเจตจำนงคือตัวศีล การบริกรรมพุทโธเปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงจะไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย กลับจะเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียรทำลายกำลังใจในคราวเจริญจิตครั้งต่อไปๆ ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้งไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน เจตจำนงต้องตั้งอยู่ไม่ลดละ เปรียบได้ดั่งบุรุษผู้หน฿งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขนพร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่าคมดาบนั้นฟาดลงมา ตนจะหลดหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย เจตจำนงต้องแน่วแน่จึงจะยังสมาธิให้เกิดขึ้นได้ แม้เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาเลย จะบั่นทอนความศรัทธาของตนเองเสียเปล่า เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอกก็ค่อยลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุท-โธ ก็จะขาดไปเองเพราะ คำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบและคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ (จิตมั่นคง)บริกรรมให้จิตเป็นหนึ่งพึงสังเกตว่าใครบริกรรมพุท-โธ ดูจิตเมื่อสงบแล้วให้จิตจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิม เช่นนั้นเมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีกไม่ตั้งกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอ สติคอยกำกับอยู่อย่างเงียบ(รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาใดๆที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาแห่งจิตได้เองเมื่อแม่ทาได้ฝึกปฏิบัติมาเช่นนี้จวบจนเวลาผ่านไป 1 ปี 2 ปี 3 ปีช่วงที่ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 นี้ แม่ทาก็เริ่มที่จะได้ยินเสียงต่างๆ แต่ก็ไม่ใส่ใจ จิตจดจ่ออยู่กับพุท-โธเพียงอย่างเดียวในทุกอิริยาบถต่างๆ พอฝึกได้ 4 ปี จิตของแม่ทาก็เริ่มเป็นทิพย์จิตใจสงบส่งกระแสจิตออกไปก็จะเห็นนิมิตต่างๆ มากมายคล้ายดั่งกับเรานั่งดูจอทีวี ดูภาพยนตร์เป็นฉากๆ เข้ามาให้จิตได้รู้ แม่ทาก็แปลกใจในความอัศจรรย์ของจิต อัศจรรย์ในอำนาจของสติที่มีเป็นหนึ่ง อารมณ์เดียวอยู่กับพุท-โธ พอฝึกสติย่างเข้าสู่ปีที่ 5 จิตของแม่ทาก็ยิ่งรู้เห็นในสิ่งเร้นลับต่างๆ บ้างก็มีนิมิต (มารจิต) เข้ามาหาปรากฏเป็นรูปกายให้เห็น

ป่วยใจพบทุกข์ก่อนพบธรรม

ป่วยใจพบทุกข์ก่อนพบธรรม


เมื่ออยู่ร่วมกับญาติสามีมีความทุกข์ใจเป็นล้นพ้นอย่างนี้แล้วจึงก่อให้แม่ทาเกิดความตรอมใจ ข้าวก็กินไม่ได้ น้ำก็ไม่ค่อยจะกิน เป็นเช่นนี้จนนานวันเข้าร่างกายก็ค่อยซูบผอมลงทีละนิดๆ แข้งขาแขนก็อ่อนแรงไม่มีเรียวมีแรงพอจะช่วยเหลือตนเองได้ ขาแขนก็เล็กนิดเดียวซูบผอมจนเนื้อหนังติดกระดูก จะลุกเดินไปไหนก็ไปไม่ได้ด้วยตนเอง สามีคู่ทุกข์คู่ยากผู้มีน้ำใจประเสริฐก็คือพ่อบุญเหลือก็พยายามนำยาชนิดต่างๆมารักษา แต่ก็ไม่ดีขึ้น จะรักษาทางกายด้วยวิธีใดๆ ก็ไม่ดีขึ้น เพราะไม่ได้ป่วยโรคภัยไข้เจ็บอะไรเป็นเพียงอาการของโรคป่วยใจ ภายในจิตอันเด็ดเดี่ยวประจำนิสัยของแม่ทานั้นตั้งใจเพียงอย่างเดียวว่าจะกลั้นใจตายให้ได้ อยากให้ตัวเองตายเพราะคิดว่าญาติสามีจะได้พากันอยู่สุขสบาย พอนานวันเข้าจากที่ข้าวปลาอาหารก็กินไม่ค่อยได้ พอจะกลืนข้าวลงสู่กระเพาะอาหาร ปรากฏว่าข้าวนั้นก็กระเดียดออกคือ กระเพาะอาหารไม่ยอมรับอาหารแม้แต่น้ำก็ไม่ค่อยจะดื่มจนกระทั่งวันหนึ่งแม่ทาได้กอดลูกน้อยสองคนไว้ในอ้อมแขนแล้วรำพึงในใจว่า "ถ้าเราจะตายก็จะกดลูกตายคามือเลย" ด้วยหวังว่าลูกก็จะให้ตายไปด้วยเลยเพราะเกรงว่าพวกญาติสามีจะรังเกียจลูกของตน แต่ก็เป็นด้วยบุญ ใจไม่ขาดสักทีกลั้นใจจะให้ตายก็ไม่ตาย ใครผ่านมาเห็นแม่ทาอุ้มลูกน้อยอยู่ในลักษณะนี้ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "กลัวผีมันมาหลอก" แม่ทาตกอยู่ในสภาพที่มีแต่ทรงกับทรุดจนไม่สามารถไปไหนได้ด้วยตนเอง ได้แต่เพียงนอนเฉยๆ แต่พ่อบุญเหลือก็ได้หาทอดทิ้งไม่ ได้อุ้มแม่ทาไปอาบน้ำชำระร่างกายให้ ซึ่งก่อนหน้านี้พ่อบุญเหลือก็พาตัวแม่ทาไปทำการรักษายังสถานที่หมอเก่งๆ จนทั่วแล้วแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้นจนหมดทางรักษา ไม่ว่าจะเป็นหมอแผนโบราณ หมอผี หมอพระ พระหมอ แม่ทาก็มิได้หวั่นในเรื่องที่จะต้องถูกรักษาตามวิธีการต่างๆ ของหมอแต่ละประเภท เมื่อร่างกายอ่อนแอไม่กำเริบจิตใจก็มั่นคงเด็ดเดี่ยว แม่ทาก็เริ่มจะเห็นพวกภูตผีวิญญาณต่างๆ ทางจิตที่ผู้อื่นไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต่อมาพ่อบุญเหลือนำตัวแม่ทาไปรักษากับหมอพระรูปหนึ่ง ชาวบ้านแถบนั้นเล่าลือกันว่าท่านนั้นเก่งกาจนักเก่งกาจหนา สามารถทำให้เลือดลมต่างๆ ของคนเดินปกติก็เห็นผลหลายราย พระรูปนั้นก็ได้สันนิษฐานว่าแม่ทานี้ถูกพวกผีวิญญาณเข้าสิง แม่ทาตอบออกไปว่า "ไม่ใช่ผีเข้าน่ะอาจารย์ เพราะว่าป่วยใจ ให้อาจารย์นี้ใช้จิตมาดูซิว่าดิฉันป่วยใจจะแก้ด้วยวิธีใด?" ป่วยใจที่ถูกญาติสามีพากันรังเกียจอาการป่วยใจเลยกำเริบออกทางกายจะกินจะดื่มน้ำก็ไม่ได้ พระรูปนั้นก็บอกว่า "ไม่ใช่หรอกมันถูกผีไร่ผีนาสิง" แม่ทาตอบว่า "นาอยู่ไหน นามันไม่มีผี" พระรูปนั้นถามว่า "เจ้าคือรู้ว่านาเจ้าผีไม่มี" แม่ทาตอบ "มีอยู่แม่ตาแฮก แต่ว่าผีที่จะมาทำล่วงเกินในร่างกายนี้ไม่มีหรอกอาจารย์" พระรูปนั้นก็แย้งว่า "เจ้ารู้ได้นี่ เจ้าเถียงเรา ผีนะนี่" แม่ทาก็แย้งกลับว่า "มันไม่ใช่ผีแต่เป็นจิตใจพูดจริงๆ อาจารย์" แม่ทาเองถึงจะถูกนำไปรักษากับหมอพระที่เก่งทางไสยศาสตร์ก็มิได้วิตกก็เพราะรู้ตนเองดีว่าไม่ได้ล้มป่วยเป็นเลือดคั่งหรือเบลอเผลอสติใดๆ แม่ทาจะเป็นประสาทแม่ทาก็จะรู้ตนเองว่าจะมีอาการปวดศีรษะ แต่นี่ไม่ได้เป็นอะไรเป็นเพราะป่วยใจอย่างเดียว พระรูปนั้นจึงได้ไปนำมีดดาบออกมา แล้วเงื้อมมือจะฟันลงพร้อมพูดดุเสียงดังว่า "ผีนะนี่" แม่ทาจึงร้องบอก "โอ้ย ! จะมาฟันอย่างไร ไม่ใช่ผี" พระรูปนี้ตั้งใจจะนำมาขู่เพราะคิดว่าในกายของแม่ทามีผีสิง แม่ทาจึงร้องตอบว่า "มันฟันไม่ถูกผีหรอกท่านอาจารย์ ฟันผีแต่ถูกดิฉัน ถ้ามีผีจริงข้าน้อยจะจับคอมันเลย" พระรูปนั้นก็บอกว่า "ทำอย่างไรเจ้าจึงจะจับได้ละ แม่ออกผีออกเจ้าก็ไม่เห็น" แม่ทาร้องบอก "เห็นอย่างไรก็ต้องเห็น คนจะตายแล้วก็ต้องเห็นหมดทุกผี" แม่ทาเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตของท่านเพิ่มเติมว่า "มันใช่อยู่นะ คนที่กำลังจะตายมันจะเห็นหมดทุกผี (วิญญาณ) เห็นทุกอย่างแต่ว่าเขาไม่มาเอา (ชีวิต) เรา คือจะมีผู้ใช้ (ยมทูต) ให้มาดูให้ไปรับเอาดวงวิญญาณผู้นั้นผู้นี้มา วิญญาณก็จะพากันมาดู แล้วเมื่อยังไม่ถึงที่ตายเขาก็จะพากันกลับ วิญญาณเขาเข้ามาบอก" ในขณะนั้นแม่ทาก็ได้พูดกับผีวิญญาณต่างๆ ตลอดในช่วงที่ป่วยใจ ร่างกายผ่านผอม หนังติดกระดูก แต่ว่าพระรูปนั้นเข้าใจว่าแม่ทาถูกผีเข้าแล้ว ได้ไปนำด้ายมาผูกแขนถ่วงแม่ทาเพื่อท่านจะตี แม่ทาจึงร้องบอกว่า "ผูกก็ผูกได้อาจารย์ แต่ขอว่าแต่อาจารย์อย่ามาตีฉันเด้อ ถ้าตีมันจะเป็นประสาท นี่จะทำอย่างไรหากเลือดตกยางออก จะอยู่ยากนะอาจารย์" พระรูปนั้นก็ไม่ได้ลงมืออะไรต่อแม่ทา แม่ทาจึงกลับบ้าน แต่อาการของแม่ทาก็ยังไม่ดีขึ้นถูกนำไปรักษายังสถานที่ต่างๆ ตลอดช่วงเวลา 1 ปี อาการต่างๆก็ยังไม่ดีขึ้น บางครั้งก็ถูกนำไปรักษาไว้ที่วัด แม่ทาก็อยู่วัด พักในวัด นอนก็นอนแบบนิ่งๆพ่อบุญเหลือเห็นว่าอาการของภรรยาไม่ดีขึ้นจึงได้นำตัวกลับมารักษาที่บ้านมานอนอยู่ที่บ้าน สามีนำอาหารข้าวต้มมาใส่ปากให้กินก็กินไม่ได้ กินไม่ลง ขณะที่ป่วยใจญาติสามีก็จะมาพูดจาถากถางอยู่ตลอดเวลา จนในวันหนึ่งขณะที่แม่ทานอนหายใจรวยรินอยู่นั้น ก็ได้ฝันเห็นหลวงปู่ท่านต่างๆ บางท่านเดินบิณฑบาตมาหา ชี้ถามดูจิตในฝันก็รู้ว่าเป็นหลวงปู่รูปนั้นๆ แล้วแม่ทาจึงรู้ตัวรำพึงกับตัวเองว่า "เราจะตายจริงๆ หรือ ถ้าเราจะตายนี้เป็นอะไรก็ช่าง แม้แต่พวกเทพพรหมก็ตามผู้อยู่สูงอยู่ต่ำอยู่เบื้องบนที่ใดก็ตาม ถึงแม้ว่าดิฉันจะตายจริงๆ ก็ขออย่าให้ลูกดิฉันหนีไปไกลเด้อ จะเอาลูกดิฉันตายด้วยกัน" ด้วยความวิตกของแม่ทาในสมัยนั้นว่า ถึงสามียังอยู่ก็จริงแต่กลัวเขาจะเลี้ยงลูกๆ ที่ยังเล็กๆ ไม่ได้สมบูรณ์ ถ้าเขาไปมีภรรยาใหม่เขาจะไม่รักลูก นอนรำพึงอยู่อย่างนี้เพียงลำพังคนเดียว ขณะนั้นเองสติทุกอย่างของสภาวจิตของแม่ทายังสมบูรณ์ปกติทุกอย่าง ยกเว้นอาการป่วยทุกข์ทรมานใจแล้วแสดงออกมาทางกาย ขณะนั้นเองได้มีเทวดาจำนวน 6 ตน ได้พากันเดินเข้ามาหาแม่ทาในนิมิต (ขออธิบายคำว่านิมิตซึ่งมีด้วยกัน 3 อย่างคือ อุคคหนิมิต ปฎิภาคนิมิต และอสุภนิมิต)อุคคหนิมิต คือ เมื่อนักภาวนาเจริญภาวนาไปจนจิตสงบ บ้างจะเห็นรูปบุคคลภายนอกเดินมาหรือผ่านมาให้เห็น อาจจะเป็นวิญญาณชั้นภูมิต่างๆ หรือพ่อแม่ครูบาอาจารย์รูปใดรูปหนึ่งมากบ้างน้อยบ้าง บ้างก็จะเห็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ปรากฏต่อหน้าปฏิภาคนิมิต คือ การปรากฏนิมิตภาพ บุคคลวัตถุต่างๆ มาปรากฏอยู่เฉพาะหน้าหรือตายลงเฉพาะหน้า เราจะกำหนดให้ภาพนั้นไกลหรือใกล้ก็ได้อสุภนิมิต คือ พอจิตรวมลงก็จะมองเห็นร่างกายของคนตายกลายเป็นศพเน่าเปื่อยสลายไปหมดหากจะถามว่านิมิตกับฝันขณะนอนหลับแตกต่างกันอย่างไร "นิมิตในภาวนามันชัดจิตหรี่รวมลง สติมีอยู่รู้ที่ใจ จิตสติรู้ลงไปก็จะมองเห็นภาพต่างๆ รูปต่างๆ แต่ในสิ่งที่จิตรู้เห็นนั้นยังมีสติ (ความระลึกรู้ตัว) อยู่ แต่ภาพที่เห็นขณะนอนหลับฝัน (เพราะขาดสติ) ไม่มีสติรู้ตัว..."เทวดาเหล่านั้นเป็นเทวดาเพศหญิงสวมเสื้อแขนกระบอกมีผ้าสไบเบี่ยงทั้ง 2 ข้างทับไหล่ สีเสื้อเป็นสีทองคล้ายสีไข่ไก่ เนื้อผ้าสีมุก นุ่งผ้าเป็นคล้ายชุดไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง สวมประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับสวยงามแพรวพราว เทวดาเหล่านั้นได้เข้ามาสั่งบอกแม่ทาขณะที่กำลังนอนอยู่อย่างมีสติ "เจ้าบ่ตายหรอก" แม่ทารู้เห็นเช่นนั้นจึงร้องบอกเหล่าเทวดา "อุ้ย พวกท่านอยู่ชั้นสูงแท้ๆ จะมาพูดอะไรกับดิฉันอย่างนี้ ไม่เหม็นฉุนเหม็นสาบหรือ ไม่เหม็นคาวหรือ เทวดาตอบ "ไม่หรอก เห็นแล้วก็น่าสงสารในชาติกำเนิด พวกข้าน้อยอยู่นั้น (เมืองสวรรค์) ก็มิใช่ว่าจะได้อยู่เฉยๆ นะ เอาใจช่วยอยู่นะ" ในเวลาช่วงนั้นเหมือนคนใกล้ตายหายใจรวยริน แม่ทาเรียนบอกเทวดาด้วยความอ่อนน้อมประจำนิสัย "โอยอย่ามาเอาใจช่วยดิฉันเลย ดิฉันก็เพียงเท่านี้ จะรับอะไรได้จากของผู้มีบุญ พวกนางฟ้าท่านก็แบบสุขสบาย ไม่เฒ่าไม่แก่ก็อย่ามายุ่งกับข้าน้อยเลย"ขณะที่กำลังสนทนากัน จิตที่มีสติคอยคุมก็รู้ตัวรู้ในจิตว่าสนทนาอยู่กับเทวดา แต่ไม่ทราบมาจากสวรรค์ชั้นใดเทวดานั้นจึงได้บอกให้แม่ทาได้รู้ว่า "เอาอย่างนี้นะ ต่อไปจะให้แม่ชีมาคุยด้วย เจ้าต้องเอาแม่ชีเป็นอย่างนะ" แม่ทารับทราบแล้วจึงถามออกไปว่า "จะเป็นไปได้หรือแม่ชีจะมาจากไหน" เทวดาเหล่านั้นจึงได้รีบพูดตัดบท "เอาอย่างนี้นะ ต่อไปจะให้แม่ชีมาคุยด้วย เจ้าต้องเอาแม่ชีเป็นอย่างนะ" แม่ทารับทราบแล้วจึงถามออกไปว่า "จะเป็นไปได้หรือแม่ชีจะมาจากไหน" เทวดาเหล่านั้นจึงได้รีบพูดตัดบท "เอาอย่างนี้เท่านี้ก็พอนะ เพราะเวลาของพวกเรามีน้อย มีเวลาจำกัด" เทวดาทั้ง 6 ตนนั้นซึ่งนั่งกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นแถวก็ได้ลุกขึ้นพร้อมกับบอกกล่าว่า "เอ้ากลับล่ะ" แล้วเหล่าเทวดานั้นต่างก็พากันโบกมือให้แม่ทาเป็นการให้กำลังใจ แม่ทาเห็นรูปกายนิ้วมือของเทวดามีความสวยงามดุจพระจันทร์วันเพ็ญก็ไม่กล้ายกมือโบกตอบเทวดา ก็ได้แต่เพียงร้องบอกเทวดาไปว่า "ไปดีเด้อ ไปดีมีชัย ผู้อยู่ก็มีโชค ถ้าบุญผลานิสงส์มีเราจึงมาพบกันใหม่นะ" เทวดาก็ร้องตอบ "โอ้ เจ้าก็มีโอกาสพูดอยู่นะ หายใจดีอยู่ ถ้าหายใจอยู่ให้เป็นหัวใจเป็นวันเป็นความเด้อ ให้หัวใจเข้มแข็งมีกำลังกาย เราคงไม่ได้เห็นกันอีกหรอกนะ เจ้าคอยเล่ากับแม่ชีเด้อ ไปล่ะ" เมื่อแม่ทาได้ทราบเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ได้รำพึงกับตนเองเรานี่ใกล้จะตายแล้วหรือถึงได้มีผู้มาเรียกมาถามด้วยคุยกัน"


สื่อจิตรู้เพียงชื่อนามสกุล สามารถล่วงรู้ถึงแดนนรกภูมิ

แรกเริ่มเดิมทีที่แม่ทาจะนำพลังจิตที่ฝึกฝนมานั้นนำมาสงเคราะห์ศรัทธาญาติโยมจนปรากฏเป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน แม่ทาเองก็ไม่ทราบว่าตัวเองนั้นมีอำนาจพลังจิตสามารถที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ ต่อมาแม่ทาก็ได้ยินเสียงดังเข้ามาทางโสตประสาท "ช่วยมนุษย์นะ เขาคับข้องใจ" แม่ทาถามไปทางจิตว่า "ทำอย่างไรถึงจะรู้ล่ะ" ก็มีเสียงตอบออกมาว่า "มันต้องรู้" ต่อมาก็มีพระจากศรีราชาเข้ามาขอคำแนะนำปรึกษาจากแม่ทา แม่ทาก็เพียงให้ท่านเขียนชื่อและฉายา (นามสกุล) ใส่ลงในกระดาษ แล้วแม่ทาก็กำหนดจิตเพ่งลงไปในกระดาษนี้ ก็ปรากฏว่าสามารถล่วงรู้ถึงความเป็นมาเป็นไปตลอดจนวิธีแก้ไขให้กับพระภิกษุรูปนี้ให้เพียรฝึกปฏิบัติภาวนา ฝึกสติทั้งกลางวันกลางคืนด้วยการไม่หลับไม่นอนตลอด 8 วันเต็มๆ จนพระภิกษุรูปนี้เกิดจิตสว่างไสว สามารถแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆของท่านไปได้ แม่ทากล่าวว่า คนเราต้องเอาปัจจุบัน อดีตมิต้องใส่ใจ ไม่มีอะไรดีขึ้น อดีตของแต่ละคนหากจะนำมาพูดถึงพู 3 ปีก็ไม่จบ คนฟังก็ฟังพอเป็นนิทาน แต่ผู้ดูให้(แม่ทา) จะเหนื่อย เหตุที่การจะเพ่งพิจารณาจิตล่วงรู้ถึงผู้อื่นได้ วาระกรรมต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นมานั้นจำเป็นต้องอาศัยการเพียรปฏิบัติภาวนาทางจิต จนจิตละสักกายทิฏฐิ(ความยึดมั่น ถือมั่นในกายตน) เพราะหากจิตดวงนั้นละความยึดมั่นถือมั่นแห่งตนแล้วก็ย่อมไม่มีความโอนเอียงเอาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง จิตมีความเที่ยงตรงชัดเจนไม่เอนเอียงเข้าข้างตัวเอง ก็ด้วยอำนาจแห่งสมาธิธรรมนั้นเองที่อบรมสั่งสมมาแต่ละภพแต่ละชาติ จนปรากฏเป็นดวงรัศมีธรรม หนุนส่งให้ดวงจิตดวงนั้นได้ประจักษ์ อย่างบางกรณีแม่ทาเพ่งดูวาระกรรมของผู้คน จิตรู้ขึ้นมาว่าอีกสองวันนี้คนผู้นี้จะต้องมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ถึงกับต้องเสียชีวิตไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ เมื่อแม่ทาทราบดังนั้นก็จะต้องอธิษฐานจิตขอจากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลดวงจิต ผู้ตรวจดวงจิตตรวจกรรมของสัตว์ทุกตัวตน มีสมุดบันทึกอยู่ในแดนยมโลก ทุกดวงจิตบุคคลท่านนั้นจะสร้างกรรมใดๆไว้ก็ตาม ดีหรือชั่วลับหรือแจ้งกรรมนั้นทั้งกายวาจาใจ ก็จะฝังไว้ในดวงจิตและไปปรากฏถูกบันทึกลงในสมุด ซึ่งเรียกว่าสมุดน้ำหมึกด้วยวาสนาบารมีของแม่ทาที่บำเพ็ญมาในด้านนี้มีความโดดเด่นโดยตรงเกี่ยวกับการแก้ไขวิบากกรรม สามารถที่จะช่วยอธิษฐานจิตขอต่อเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดวงจิต ช่วยยืดอายุของคนผู้นั้นออกได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ตาย ตายเหมือนกัน แต่อาจจะตายช้าลงเท่านั้นเอง แต่ถ้าในดินแดนยมโลกระบุชื่อของผู้นั้นไว้ แน่นอนแล้วว่ายังไงซะ ผู้นั้นก็ต้องตาย ขออะไรก็ไม่ได้ แม่ทาก็จำเป็นที่จะต้องบอกให้คนนั้นทำใจ หรือบางครั้งแม่ทาก็จะอธิษฐานจิตนั้นให้ยืดอายุขัยของบุคคลผู้นั้นให้ยืนยาวต่อไปสักระยะหนึ่ง อย่างไปโรงพยาบาลไปรักษาอย่างไรก็ไม่หาย แพทย์ก็ให้ยารับประทานเอง ทางโรงพยาบาลก็ไม่สามารถจะช่วยยืดอายุขัยได้ ก็จะระบุวันมาเลยถึงวันสิ้นอายุของผู้นั้น ในส่วนของอำนาจจิตวาสนาบารมีของแม่ทานั้น หากมีผู้มาขอร้องช่วยเหลือให้แม่ทาช่วยเหลือ แม่ทาก็จะทำการอธิษฐานจิตขอกับจ่ายมบาลเจ้าหน้าที่ที่ดูแลดวงจิต ถ้าทางเจ้าหน้าที่ดูแลบัญชีเจ้ากรรมนายเวรเขาอนุโลมผ่อนผันให้ บุคคลนั้นก็จะมีอายุขันเพิ่มขึ้น แม่ทาส่งกระแสจิตท่านไปขอกับจ่ายมบาลและต้องไปตรวจดูรายชื่อผู้นั้นอีกกับเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจดูกรรมดีกรรมชั่วของบุคคลท่านนั้น ณ ขั้นที่ 1 ซึ่งเป็นสถานที่ตรวจกรรม เมื่อทราบว่าบุคคลท่านนั้นจะต้องอยู่ในข่ายของเจ้าหน้าที่โลกวิญญาณ เขาก็จะบอกกับแม่ทา "ขอแทนไม่ได้ ขอเปลี่ยนไม่ได้ บุคคลคนนี้เป็นคนของข้าน้อยแล้ว" แม่ทาก็ต่อรองขอให้เจ้าหน้าที่ทางโลกวิญญาณช่วยยืดอายุขัยบุคคลนั้นให้ยืนยาวต่อไปซักหน่อย ร้องขอจนหมดหนทาง "อ้าว เป็นอะไรทำไมพูดยากเหลือเกินจะเป็นอย่างไรคนของท่านก็ต้องเป็นของท่าน คนของเราก็เป็นของเราเหมือนกัน เราขอนี่ไม่ได้หรือความขอกับความซื่อนี้คิดดูซิอันไหนจะแพงกว่ากัน" จ่ายมบาลก็รู้ว่าสู้ความขอไม่ได้ ความซื่อเป็นอีกอย่างหนึ่ง เมื่อแม่ทาขอแล้วก็ต้องเอาสิ่งแลกเปลี่ยนให้กับจ่ายมบาล จ่ายมบาลขออะไรก็ต้องหาสิ่งของแลกเปลี่ยนให้ แต่ไม่ว่าจะเอาอะไรไปแลกเปลี่ยนก็ตาม ก็ไม่มีสิ่งใดเยือกเย็น นุ่มนวลกว่าการบูชาผ้าไตรอุทิศไปให้ไม่ได้ อันเป็นสมบัติสงฆ์นำผ้าไตรจากโลกมนุษย์อุทิศส่วนกุศลให้เพื่อขอร้องต่ออายุให้กับบุคคลผู้นั้น ผ้าไตรนั้นเป็นของสูง มีคุณค่าสูงยิ่งเสมือนหนึ่งทางโลกถือเป็นทองคำแท่งเป็นของมีคุณค่า ทางเจ้าหน้าที่ดวงวิญญาณนายจ่ายมบาลเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ก็เกิดความกลัวหวาดหวั่นดวงจิตของแม่ทาที่ได้ไปเยือนดินแดนนรกภูมิ ได้ไปพบกับพระภิกษุสงฆ์บางรูปในขณะที่มีชีวิตอยู่ในเมืองมนุษย์ได้ประพฤติผิดล่วงละเมิดในศีลธรรมวินัยน้อยใหญ่ของพระพุทธองค์ เมื่อดับธาตุขันธ์ลง ดวงจิตก็ไปเสวยกรรมในนรกภูมิ ก็ต้องไปตรวจบัญชีกรรมในนรกภูมิ ก็ต้องไปตรวจบัญชีกรรมดีกรรมชั่วของตน โดยจะมีเจ้าหน้าที่ซักถามถึงกรรมการกระทำของท่าน ว่าในขณะที่มีชีวิตในโลกมนุษย์ได้ปฏิบัติผิดอย่างนั้นอย่างนี้จริงไหมที่มีกรรมกุศลและทั้งส่วนที่เป็นอกุศลกรรม เมื่อพิจารณาตัดสินคดีความกันก็ต้องไปตรวจอีก 2 ด่านบัญชีสมุดน้ำหมึกอีก ว่าจะตอบตรงกับบัญชีที่แสดงไว้ไหม เมื่อตัดสินคดีความแล้วร่างกายดวงจิตนั้นก็ต้องไปรับโทษทัณฑ์ในขุมนรก ตกลงในบ่อน้ำเดือด แต่ผ้ากาสาวพัสตร์นั้นมิได้ตกลงไปด้วย ผ้าเหลืองนั้นจะหลุดออกจากร่างกายผู้นั้นทันที ร่างกายของพระรูปนั้นก็จะปลิงลงสู่ขุมนรกขุมต่างๆไป ส่วนผ้ากาสาวพัสตร์ก็ไปอยู่ในสถานที่สมควรคือแดนสวรรค์นิพพาน จิตแม่ทาเพ่งดูรายชื่อของผู้คนแล้วก็สามารถรู้ไปถึงสมุดน้ำหมึกในเมืองยมโลกทุกชีวิต ทุกดวงจิตจะมีรายชื่อสมุดน้ำหมึก ซึ่งมีลักษณะสีออกสีน้ำตาลไหม้ บันทึกด้วยอักษรสีน้ำตาล (แม่ทาทราบจากจิตแม่ทา อ่านด้วยจิต) ทางแดนยมโลกจะบนทึกกรรมของสัตว์แต่ละบุคคลไว้ตลอดเวลา ทั้งดีชั่ว คือ ความดีชั่วของมนุษย์สัตว์ที่กระทำกรรมลงไปจะถูกบันทึกฝังลงในดวงจิต แล้วกรรมการกระทำของเรานั้นในแต่ละวันแต่ละวินาทีจะไปปรากฏอยู่ในแดนยมโลก จะทำอะไรไว้ก็ตามทุกอย่างจะไปปรากฏในแดนยมโลกทั้งหมด เทพพรหมเทวดาเป็นผู้ดูแลสร้างไว้ในกฎแห่งกรรม ถึงขนาดที่ว่าความละเอียดที่ว่านั้น เช่นวันนี้เราพูดคุยกันจะเป็นความจริงหรือเท็จก็จะไปปรากฏในสมุดน้ำหมึก บันทึกลงไว้ทั้งหมด พอเราดับขันธ์ เขาก็จะนำบัญชีสมุดน้ำหมึก ซึ่งมีขนาดใหญ่โตชนิดคนแบกแทบเซถลานำมากางเพื่อตรวจกรรม ทางเจ้าหน้าที่จะรับรู้ทราบข้อมูลของบุคคลผู้นั้นได้อย่างละเอียดยิบ ถึงแม้บุคคลเหล่านั้นจะพูดแบบกระซิบกันในสมัยเป็นมนุษย์ก็จะถูกบันทึกไว้ทั้งหมด วันนี้บุคคลนี้อารมณ์เป็นอย่างนี้อย่างนี้ อารมณ์ในแต่ละวันเป็นอย่างไร ครั้นดับขันธ์ลงไปนายนิรยบาลเปิดบัญชีจะถามว่า "เจ้าทำอะไรมาก่อน วันนั้น....วันนี้.....เดือนนั้น....เดือนนี้...." บุคคลผู้นั้นจะต้องชี้แจงบอกกรรมของตนให้ถูกต้องกับบัญชีที่ปรากฏในสมุดน้ำหมึก เจ้าหน้าที่จะตรวจดูกรรมของเราที่ได้สร้างไว้ ความละเอียดของการบันทึกลงในสมุดน้ำหมึก ละเอียดขนาดที่ว่าคนเรานอนหลับในแต่ละคืนพลิกตัวกี่ครั้งก็ยังมีบันทึกปรากฏในสมุดน้ำหมึกนั้น หรืออย่างวันนี้เราเดิน เวลาเราเดินวันหนึ่งกี่กิโลเมตรถึงได้ไปทานข้าว สมุดน้ำหมึกจะบันทึกรายละเอียดอย่างละเอียดยิบ ครั้นเมื่อบุคคลนั้นดับขันธ์ไป ดวงจิตก็ต้องตรวจกรรม ณ แดนบมโลกนี้ ทางเจ้าหน้าที่โลกวิญญาณจะถามเราว่าเราโกหกหรือไม่ ตรวจสอบเราอีกครั้งหนึ่งถ้าเราพูดตามตรง ตอบไปตามตรงถึงกรรมที่เกิดขึ้น ในขณะที่ทำในโลกมนุษย์ ตัวนี้ในสมุดน้ำหมึกจะแสดงให้เราทราบว่าเราทำถูกต้อง เราจะไม่ต้องรายงานทั้งหมดอีกในขั้นที่ 2 เปรียบเหมือนทางโลกก็ต้องมีศาลอุทธรณ์ แต่ความเที่ยงแท้จะแตกต่างจากโลกมนุษย์มาก ไม่มีการโกหกมดเท็จในเรื่องกรรมที่เกิดขึ้น จากนั้นก็ไปตรวจอีกเล่มหนึ่งซึ่งเป็นขั้นที่ 3 เป็นเล่มสุดท้ายของบัญชีบันทึกบุญบาปกรรมของมนุษย์ เจ้าหน้าที่ตรวจแล้วบุคคลนั้นตอบถูกต้องก็ผ่านไป เข้าสู่กระบวนการไปเสวยกรรมดี กรรมชั่วที่ตนได้สร้างสมไว้ แต่ถ้าหากดวงวิญญาณนั้นตอบไม่ตรงกับบัญชีที่ปรากฏอยู่ในสมุดน้ำหมึก ก็จะถูกเจ้าหน้าที่ทางโลกวิญญาณกักขังทรมานให้อดน้ำอดอาหาร รอรายงานตัวใหม่จนกว่าจะครบทั้ง 3 ขั้นตอน จะพูดกล่าวอะไรก็ต้องพูดให้ตรงกับที่เขาบันทึกไว้ใครจะเกิดเป็นเทวดาเป็นพรหม เป็นมนุษย์เป็นสัตว์ เป็นเปรต ต้องผ่านแดนนี้ก่อน (มีแยกแยะหลายกรณี) ยกเว้นจิตของพระอรหันต์เท่านั้น สมุดบันทึกกรรมสมุดน้ำหมึกจะถูกดับปิดลงทันที กรรมนั้นเราเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ส่งตัวเราเอง ทั้งกรรมดีกรรมชั่ว บุคคลที่ดับขันธ์จากโลกมนุษย์ไปแล้วจะต้องไปรวมกัน รอรับตรวจกรรมที่แดนยมโลกเสียก่อน หากพวกที่ไม่ต้องชดใช้กรรมในแดนนรกภูมิลงขุมนรกต่างๆ ผู้นั้นเดินไปแล้วใช้เท้าจุ่มลงในน้ำเดือดๆ ผู้ที่จะไม่ได้รับกรรมในนรกภูมิเพียงเอาเท้าจุ่มลงในน้ำก็จะสามารถผ่านไปได้เลย จะตรงกันข้ามกับพวกที่ได้รับกรรมเมื่อเอาเท้าจุ่มลงไปในขุมที่มีน้ำเดือดนั้นก็จะไม่สามารถผ่านไปได้ ต้องไปชดใช้กรรมลงสู่ขุมนรก ส่วนพวกที่รอรับการตัดสินกรรมในแดนยมโลกยังไม่ได้ไปเสวยกรรมใดๆ ก็เพราะพูดตอบแสดงถึงกรรมของตนต่อเจ้าหน้าที่โลกวิญญาณไม่ตรงกับที่ปรากฏในสมุดน้ำหมึกลักษณะสมุดบัญชีน้ำหมึกนี้หากเปรียบในทางโลกก็เหมือนกับเราไปโรงพยาบาลก็จะมีบัตรประจำตัวของผู้ป่วยที่ทางโรงพยาบาลเก็บข้อมูลต่างๆไว้อย่างคนป่วยเป็นโรคกระดูก จะให้ผู้อื่นมาป่วยแทนก็ไม่ได้ กรรมก็เช่นเดียวกัน จะดีหรือชั่วของดวงจิตผู้นี้ที่กระทำขึ้นก็จะถูกบันทึกไว้ทั้งหมด ลักษณะสมุดบัญชีสมุดน้ำหมึกของบุคคลซึ่งดวงจิตบรรลุธรรมถึงพระอรหันต์ สมุดบัญชีกรรมนี้ก็จะค่อยๆ ถูกพับปิดลงอย่างนิ่มนวล ไม่ต้องไปรับกรรมเสวยกรรมใดๆ อีกต่อไปในภพหน้าในชาติต่อไป เสวยอยู่ในแดนอมตะนิพพาน กรรมแต่ละคนสร้างมาไม่เหมือนกัน ดวงจิตเกิดมาจากการปรุงแต่ง เกิดเป็นดวงจิตขึ้นมา จิตมีความยึดมั่นถือมั่น ดวงจิตก็เกิดขึ้นตามระบบของกรรมตามธรรมชาติ ความละเอียดตรงนี้ผู้บันทึกก็ไม่สามารถที่จะบรรบายได้ต่อไปอีก เพราะแม่ทาบอก ผู้บันทึกว่าส่วนนี้ไม่สมควรถาม เพราะผู้นั้นไม่ได้รู้เห็นด้วย ผู้บันทึกได้ถามแม่ทาถึงแดนนาคาพิภพและแดนยมโลกว่าอยู่ในที่เดียวกันหรือไม่ แม่ทาก็ตอบว่า "อยู่ในส่วนเดียวกัน แต่อยู่คนละเมือง เช่นเมืองกรุงเทพมหานครและเมืองพนมไพร ร้อยเอ็ด จะมีการแบ่งแยกกันอยู่ แต่อยู่ในส่วนเดียวกันเรื่องราวประวัติรวมถึงสภาวะธรรมประสบการณ์การปฏิบัติธรรมของท่านในหนังสือเล่มนี้ยังมีอีกเยอะ ถ้าสนใจผมจะคัดส่วนที่น่าสนใจนำมาพิมพ์ให้อ่านกันนะครับ ท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ยังมีชีวิตอยู่และมีสมาธิจิตที่เข้มแข็งแก่กล้ามาก ท่านมักจะบำเพ็ญสมาธิอดอาหารหรือไม่หลับไม่นอนเป็นเวลาหลายๆวันด้วยกัน บางทีไม่นอนเป็นเวลาหลายเดือนด้วยกันทีเดียว(นั่งสมาธิพักผ่อนแทน) จิตของอุบาสิกาท่านนี้สามารถสื่อถึงหลวงปู่มั่นได้ และท่านก็ได้หลวงปู่มั่นคอยชี้แนะสั่งสอนธรรมให้ในนิมิตอยู่เสมอๆครับ

มนุษย์เราเอ๋ย




“มนุษย์เราเอ๋ย ก่อนที่เราจะเที่ยวไปขอพรจากใครคนหนึ่ง


ขอให้เราจงสำรวจตรวจตราดูอย่างต้นข้าว


กว่าจะผลิรวงเป็นเมล็ดก็ใช้เวลานาน


กว่าจะได้ผลผลิตดังหมายการทำการกุศล


ความดีงามก็เช่นกันนั้นก็ย่อมมีกาล


มีเวลาเป็นของมันเองจะไปเร่งเทพเทวดา


จะเร่งบุญกุศลเช่นไรได้อย่างไรเล่า


เหมือนฤดูฝนก็ย่อมมีกาลมีเวลาของมัน


แล้วชะตาชีวิตคนเราก็เช่นกันเมื่อกาล


นั้นยังไม่ถึงพร้อมเจ้าจะไปเร่งแสวงหา


จากใครกันเล่าเพราะกรรมที่เราสร้างไว้


สมสั่งเพียรเพียงพอหรือยังศีล ทาน เมตตา


กตัญญู ภาวนา อย่าลดละบูชา และปฏิบัติ


แต่สิ่งที่ดีงามครั้นกาลเวลาส่งอำนวย


ทั่วฟ้าจบดินแม้แต่เทวดาก็มิอาจต้านทานใน กรรมกุศลของเราไปได้"




คัดลอกส่วนหนึ่งจากหนังสือ “อุบาสิกา แม่จันทร์ทา ฤกษ์ยาม”บันทึกบทธรรม ชีวประวัติ สตรีใจเหล็กผู้เพียรฝึกสติด้วยความมุ่งมั่นสตรีใจเพชร ผู้มีจิตใจงดงามดุจจันทร์วันเพ็ญ ผู้เป็นราชินีในหัวใจชนผู้ทุกข์ยาก สตรีใจพระผู้ทรงคุณวิสุทธิ์จนเป็นที่กล่าวขานจากครูบาอาจารย์สายพระกรรมฐานบันทึกธรรมโดย นายพันธกานต์ กิ้มทอง (โจ)