ธรรมมะ ย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

นิมิตจิตมารมาหลอกให้ขาดสมาธิ


นิมิตจิตมารมาหลอกให้ขาดสมาธิ

แม่ทาเพียรฝึกสติอยู่อย่างตั้งใจก็ได้ปรากฏนิมิตเห็นรูปร่างของตนอีกร่างหนึ่งเข้ามาหาก็นึกในใจ “เอ้ ! ไม่ใช่เราเป็นปอบหรือ โอ ! จะเป็นอะไรก็ช่างขอให้เราสบายใจอยู่กับ พุท-โธก็พอ” แม่ทาเริ่มเห็นสิ่งต่างๆ เช่นนี้ก็ไม่รู้จะพูดให้ใครฟังได้ กลัวถูกเขากล่าวหาว่าเป็นบ้าเป็นประสาท แต่สติของแม่ทายังตั้งมั่น เป็นอะไรก็ช่างเราจะฝึกอยู่อย่างนี้อยู่กับพุท-โธ นั่งภาวนาไปบริกรรมพุท-โธไป จิตสงบก็ได้เกิดนิมิตรูปกายของแม่ทา (จิตมาร) เดินเข้ามาหาแม่ทา “เฮ้ย ! จะไปนั่งให้มันอดหลับอดนอนทำไม นอนคือพวกเรานี่ พวกเรานอนแล้วนะ” พอสิ้นเสียงดังรับทราบ มารก็แสดงนิมิตหลอกให้คลายจากการฝึกสติจับพุท-โธ จิตแม่ทาก็ได้มองเห็นกายตนมานอนให้ดู จิตของแม่ทาก็นึกว่า “เป็นอะไร มันทำไมมาเรียกเราไปนอน เราไม่นอน” นิมิตรูปกาย (จิตมาร) เห็นแม่ทาพูดเช่นนั้นก็ร้องบอก “โอ้ มึงไม่นอนแล้วมึงจะได้อะไร ? มึงจะได้ไปนิพพานอยู่หรือ จ้างซะเท่าขี้มึงไม่ได้ไป กูจะดึมังนอนอยู่นี่แหละ” จิตแม่ทาที่มีสติก็ร้องบอก “ทำอย่างไรกูไม่นอนแน่” ขณะที่แม่ทานั่งบริกรรมพุท-โธอยู่นั้นก็ได้มีนิมิตต่อมาปรากฏเป็นช้างตัวใหญ่วิ่งตุ๊บตั๊บเข้ามาแล้วก็ง้างเท้ายกขึ้นจะเหยียบร่างแม่ทา แม่ทาก็ร้องบอก “เออ ! ถ้ามึงจะเหยียบก็เหยียบเลยเหลือไว้แต่จมูก” ช้างตัวใหญ่ที่ปรากฏในนิมิตท้าทาย “โอ้มึงเก่งน้ออีนี่” จิตแม่ทาก็บอกว่า “ก็ไม่เก่งปานใด ถ้าจะเหยียบกันก็เหยียบไปหมดซะ แต่เหลือไว้แต่จมูกก็พอได้ไว้หายใจ แต่ถ้ามึงถูกจมูกกูมึงระวังโลด” จิตของแม่ทาในขณะนั้นก็ยังหวั่นกลัวอยู่ก็พูดขู่ช้างไป ช้างตัวใหญ่นั้นมันก็ค่อยๆ ถอยออกไป ร้องบอกแม่ทาว่า “กูทำอะไรไม่ได้เลยกับมึง” นิมิตที่จิตแม่ทาเจอช้างใหญ่ก็หายไป จากนั้นก็ปรากฏนิมิตเป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเป็นรูปกาย (จิตมาร) ของแม่ทา ได้พากันเดินเข้ามาหาแม่ทา (จิต) ในนิมิตเดินเข้ามาแต่หัวเข่าแม่ทา “มึงได้ยินไหม ? กูเรียก บ้านเขาเก็บเห็ดได้ กูมาชวนไปเก็บเห็ดนะนี่” จิตแม่ทาก็ตอบพวกมาร “ไม่ไปหรอก ไม่อยากไป” ร่างนิมิตมารร้องบอกแม่ทา “ไปต้องไปเก็บเห็ดกับกู ไปด้วยกัน” จิตแม่ทาเห็นนิมิตนั้นมองดูก็มี 4 คน รูปร่างของคนกลุ่มนั้นก็มองเห็นคล้ายตัวเองทั้งหมด ก็นึกในใจว่า “มันเป็นอะไร เขาทำไมมีรูปร่างเหมือนเราแม้” แล้วร้องบอกออกไปว่า “โอ้ย เราไม่ไปหรอก เราเหนื่อย เราจะนั่ง (ภาวนาพุท-โธ) มั่นอยู่นี่แหละ” กิเลสมารมันพากันพูดว่า “มันชนะเราจริงๆนะ ไปเราไป” ร่างกายนิมิตที่เกิดจากกิเลสจิตมารก็หายไป แม่ทาก็ยังคงนั่งภาวนาอยู่กับพุท-โธอยู่อย่างนั้นต่อมา ภาพกิเลสก็พากันมาปรากฏเข้ามานั่งข้างๆ แม่ทาพากันมานั่งอย่างเป็นระเบียบแล้วกราบพับลงข้างๆ แล้วก็บอกว่า “ขอเถอะ ขอหน่อยทำอย่างไร ถึงทำได้ขนาดนี้ ขออนุญาตทำอย่างนี้มาได้นานขนาดไหนแล้ว” จิตแม่ทาก็บอกว่า “นานขนาดไหนกูก็ไม่พูดกับมึงดี ไม่อยากพูดกับมึง” กิเลสจิตมาร “โอ้ อย่าคร้านเถอะ ข้าน้อยก็อยากรู้ อยากปฏิบัติแท้ๆ อยากปฏิบัติจริงๆ มันบ่อได้จริง มึงพูดได้แต่คือมึงแม้อีอันนี้” จิตแม่ทาตอบว่า “ว่าอะไรก็ไม่สน ไม่ได้ยินซะด้วย” แม่ทามุ่งมั่นเพียงอย่างเดียวคือฝึกสติรู้ให้ยิ่งกว่านี้จึงตำหนิกิเลสจิตมารที่มาปรากฏคอยหลอกให้จิตหลงไปว่า “พวกสูนี้ขี้โกหกตอแหลพูดอยู่ทุ่งได้ยินอยู่บ้าน” กิเลสมารก็แย้ง “ฮือ ไม่ได้ไปหัวเราะอยู่ทุ่งซะที มีแต่อยู่เรือน” จิตแม่ทาก็ได้ตอบกิเลสออกไปว่า “อยู่เรือนกูก็รังเกียจพวกเจ้า ไม่ยอมพูดด้วยหรอก” ว่าแล้วแม่ทาก็หันหน้าหนี กิเลสมารที่แสดงในรูปกายนิมิตก็หันตามมาพูดด้วย “เออท่านว่าจะหนีได้ ท่านว่าท่านจะนั่งได้” แม่ทาก็ร้องบอกว่า “ไม่เราไม่อยากพูดกับพวกเจ้าหรอก ร่ำไรไปๆ พวกเจ้าจะไปไหนก็รีบไป ถ้าไม่รีบไปจะเหยียบพวกเจ้าให้ไส้แตกเดี๋ยวนี้แหละ” นิมิตนั้นก็หายไป แม่ทาฝึกจิตของตนให้สติอยู่กับพุท-โธในช่วงเวลา 5-6 ปี ก็ต้องยิ่งระวังกิเลสที่จะเข้ามากระทบจิต สติระมัดระวังยิ่งกว่าในช่วงเวลา 3-4 ปี เฝ้าดูสติอยู่กับพุท-โธ อย่างเดียว เพื่อให้จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ (จิตมีอารมณ์เดียว) ด้วยถ้าหากขาดสติก็จะหลงไปกับสิ่งเหล่านี้หลงลืมจิตออกนอกกาย แม่ทาก็สามารถรักษาสติคอยระวังจิตไว้ตลอด สติรู้ตัวตลอดเผลอไม่ได้ บ้างกิเลสจิตมารก็จะมาปรากฏแสดงตนบอกยั่วยุต่างๆ “มึงเก่ง ให้มึงนั่งตายอยู่นี้ซะ” จิตแม่ทาก็ตอบว่า “ไม่ได้เก่ง แต่ว่ากูขี้เกียจไป (จิตส่งออกนอกกายที่มีสติกับพุท-โธ) พวกเจ้ามีทางไปก็ไปเลย ไม่ต้องมาชวนกูอีกต่อไปนี้” จิตกิเลสมารต่างๆ ก็ค่อยๆ หายไปบ้างก็มาพูดจาเยาะเย้ยเพื่อให้จิตแท้ของแม่ทาหลงกับกิเลส “ถ้ามึงเก่งให้มึงเหาะซะเด้อ ถ้ามึงดีให้มึงตายกับพุท-โธซะ”

ไม่มีความคิดเห็น: