ธรรมมะ ย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

พิจารณาอสุภนิมิตสู่การละสักกายทิฐิ


ต่อมาการปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิอยู่กับพุท-โธ ขอแม่ทาย่างเข้าสู่ปีที่ 7 จิตเริ่มมีพลังบริสุทธิ์ขึ้นไปตามลำดับ จิตสงบเป็นจิตทิพย์ แม่ทาได้นั่งภาวนาก็ได้นิมิตมองไปทางไหนก็มองเห็นแต่คนตายเต็มไปหมด แม่ทาถามตนเองว่า “มันเป็นอะไร ทำไมตายเยอะเหมือนกบเหมือนเขียดแท้” จิตแม่ทาส่องก็มองเห็นศพที่นอนตายนั้นปรากฏมองเห็นเป็นรูปแต่รูปร่างกายของแม่ทานอนนิ่งตาย จิตกายของตนได้ใช้เท้าคีบดูบริเวณใบหน้าของศพก็ปรากฏว่าศพนั้นก็หันหน้ายิงฟันเห็นแต่ออกมาให้แม่ทาดู จิตแม่ทาก็นึก “แบบนี้แหละหนอที่เขาได้เยี่ยวรดอย่างว่า” จิตของแม่ทาเห็นร่างกายของตนตายก็เดินไป “ตายก็ตายกูไม่สนใจกูไม่ดูหรอกดูได้แค่นี้” ปรากฏว่าขณะนั้นรูปกายของแม่ทาที่นอนแน่นิ่งอยู่นั้นก็เกิดอาการดิ้นกระตุกๆ ขึ้นมา จิตของแม่ทาก็พูดกับร่างนั้นว่า “โอ้ชักก็ชัก ตายก็ตาย ถ้าตายกูจะเผา” แล้วปรากฏว่าร่างกายนั้นก็ตายลงแล้ว แม่ทาก็ทำการเผาร่างกายของตนเอง ร่างนั้นตายแล้วก็ปรากฏฟื้นขึ้นมาอีกแล้วก็ตายลง แต่แม่ทาก็จัดการเผาร่างกายของตัวเองที่นอนตายอยู่นั้นจนเป็นกองใหญ่ ปรากฏว่าศพที่เผานั้นมีแต่ร่างของแม่ทาผู้เดียว จิตจึงได้บอกกับร่างนั้น” เออมึงตายผู้เดียวกูก็จะเผามึงผู้เดียว” แล้วก็ได้จุดไฟเผาร่างกายศพตนเองจิตของแม่ทาก็บอกตนเองว่า “เผาแล้วก็แล้วแต่มึงจะไหม้ กูไม่สนมึง” นิมิตในการพิจารณากายตนก็หายไปต่อมาแม่ทานั่งบำเพ็ญก็ได้ปรากฏรูปกายกิเลสจิตมารของตนขึ้นมาให้ทราบในนิมิตเข้ามาหาแสดงให้จิตของแม่ทารู้ มันร้องบอกแม่ทาว่า “เอ้า ถ้ามึงว่ามึงดี” แม่ทาก็นิ่ง จิตกิเลสมารก็แสดงต่อไปว่า “มึงว่ามึงดีจริงๆ ในกระดูกซี่โครงมึงมีกี่ซี่ ถ้ามึงเก่ง” จิตแม่ทาก็ตอบจิตกิเลสว่า “กูก็ไม่ได้เก่ง กูนับได้ขนาดนี้แหละ มึงอยากรู้จักอะไรนักหนา มันจะเกินร้อยหรือมันไม่พอร้อยหรอก กระดูกซี่โครงเฉยๆนับเอาแต่น้อยใหญ่ก็มี 12-13 ตั๋วะมึงจะเอาไปทำอะไร ?” จิตกิเลสมารที่ปรากฏเป็นรูปร่างแม่ทาก็ร้องบอกจิตแท้แม่ทาว่า “โอย มึงก็อย่าเก่งมากนัก” แม่ทาก็ตอบ “ไม่ได้ว่าเก่งอะไร กูนั่งเฉยๆ นี่ คนมายุ่งเกี่ยวกับกูกูโมโห ดีนะที่กูไม่เตะผ่าหมาก” จิตของแม่ทาพูดกับกิเลสจิตมารจะเป็นแต่คำพูดแทนตนว่ากูตลอด จิตกิเลสมารก็ร้องบอก “ไม่ ถามดูเฉยๆ” แม่ทา (จิต) “เรียกมาเพื่อนมึงมีกี่คน” จิตกิเลสมารตอบว่า “เพื่อนกูมีอยู่ 6” แม่ทาก็ท้าทายตอบไปว่า “6 ก็เอาทั้ง 6 ต่อให้มา 12 ก็ได้” จิตกิเลสมารมันก็ได้แสดงอาการเรียกเพื่อนมันมา “เฮ้ย ๆ มานี่” ก็ปรากฏว่าจิตกิเลสมารก็ได้ปรากฏเป็นรูปกายแม่ทา (จิต) มองดูมันทั้งหมด ก็พบเห็นว่าพวกกิเลสจิตมารนั้นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายตัวเองทั้งหมดเลย พวกมันก็พากันมายืนหวีผมอยู่รอบๆแม่ทา แล้วก็พากันนั่งลงข้างๆ แม่ทา หัวหน้ากิเลสมันจึงได้พูดบอกกัน “เอ้า อย่างนี้ซะ เฮาเรียกโต๋มานี่ไม่ใช่อะไร ถ้ามันเก่งให้มันเอาตับไตมันออกมาดูซิเฮาต้องเห็นด้วยกันทั้ง 6 คน”แม่ทา (จิต) ก็ถามกิเลสด้วยความองอาจ “มึงอยากดูอะไรนะ” กิเลสท้า “เอาออกมานี่ เอาออกมาเลย” แม่ทาก็ถามกลับ “แล้วมึงจะดูไปทำไม เดี๋ยวนี้มึงอยากดูจริงๆหรือ” กิเลสมารก็รีบตอบ “อยากดูล่ะซิกูถึงมา” พอกิเลสท้าทายเช่นนั้นจิตแม่ทาก็ถามย้ำ “มึงอยากดูจริงๆ หรือ” จากนั้นแม่ทาก็ทำการปลดล็อคบริเวณคอหอยคล้ายปลดสลักที่อยู่บริเวณคอหอยออกดังกริ๊ก แล้วจึงดึงอวัยวะภายในต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ตับ ไต ไส้ กระเพาะ ถุงน้ำดี เป็นต้น ออกมาจากร่างกาย หลุดออกมาเป็นพวงเส้นสายต่อเนื่องกัน จิตกายทิพย์ของแม่ทาก็ได้ร้องบอกกิเลสจิตมารที่มาท้าทาย “เอ้า นี่แหละมึงจะดูขนาดไหนมึงจะกินไหม” แล้วโยนออกไปกองวางให้พวกกิเลสมารมาดู แล้วมันก็ถามแม่ทาว่า “มองดูให้ครบไหม มึงตายแท้” เสียงอวัยวะต่างๆ ของแม่ทาที่อยู่ติดกันเป็นพวงก็ดังโกรกเกรกๆ แล้วเหล่าพวกกิเลสจิตมารที่แสดงรูปร่างเป็นรูปร่างหน้าตาคล้ายแม่ทาได้คุยกันว่า “มันต้องตายแท้ มันเอาออกมาหมดแล้ว” แม่ทา(จิต) รับรู้เช่นนั้นก็บอกกิเลสมาร “ตาย กูก็ยอมตาย ถ้ากูโง่ ถ้ากูไม่โง่ ระวังพวกมึงไว้ให้ดี ถ้ากูโง่กูไม่เสียดายหรอก นี่มึงว่าอะไร?” แม่ทาถามกิเลส “ถ้ากูรู้กูจะบอกมึงเอามาให้ดูหรือ” กิเลสตอบ จิตแม่ทาก็พูดด้วยหัวใจห้าวหาญต่อพวกกิเลสจิตมารว่า “ถ้ามึงไม่รู้แล้วไป อยู่นี่กูต้องเอาประกอบกูได้หมดล่ะ เพราะว่ากูเป็นผู้เอาออกมา” แล้วพวกกิเลสจิตมารมันก็คุยกันว่า “จ้างก็ประกอบเอาเข้าไปไม่ได้หรอก มันต้องตายแท้” กิเลสจิตมารก็ยั่วยุหมายจะหลอกให้แม่ทา (จิต) เกิดความหวั่นกลัวตาย แล้วจะได้หยุดการพิจารณาร่างกาย แม่ทาก็บอกว่า “กูไม่ตาย กูไม่โง่เหมือนพวกแกหรอก” แม่ทาก็ร้องท้าทายพวกกิเลสมารว่า “เอ้าถึงเวลาแล้วดูให้ชัดๆ นะ กูจะเอามาประกอบของกู ระวังพวกมึงไว้ให้ดี คราวนี้กูจะบีบคอมึงคอยดูซิ” กิเลสจิตมารก็พูดจากัน “ถ้ามันเอาออกมาอย่างนี้มันต้องตายเน้อ” กิเลสมารก็กระซิบกระซาบคุยกัน จิตแม่ทาก็รับรู้แล้วได้ไปจับอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายนั้นที่ติดกันเป็นพวงยกขึ้นแล้วบอกพวกกิเลสจิตมารว่า “นี่มึงว่าหวานหมูหรือ มึงว่ามึงจะได้ทางมึงหรือ คอยดูให้ดีเด้อ” ว่าแล้วแม่ทาก็ชูอวัยวะต่าง ยกขึ้นแล้วพิจารณาเพ่งดูอวัยวะต่างๆ อย่างแจ่มชัด แล้วใช้มือประคองอวัยวะต่างๆไว้ให้อยู่ในสภาพปกติ พิจารณาเพ่งดูอวัยวะต่างๆ ว่าอยู่อย่างไร? เรียงต่อกันอย่างไร? อะไรอยู่ส่วนไหนแล้วก็ค่อยวางอวัยวะ วางอวัยวะต่างๆเข้าไปในร่างกายอย่างช้าๆ จนเสร็จเรียบร้อยแล้วร้องบอกกิเลสมารว่า “นี่” ปรากกฎว่าพวกกิเลสจิตมารนั้นก็พากันเดินหนีไป เห็นแต่หลังไวๆ แม่ทาตะโกนเรียกให้มาก็ไม่ยอมมา “มึงมาเถอะน่า กูทำไมโมโหแท้ กูจะเอาพวกมึงให้ละเอียดเลย” แล้วเสียงกิเลสจิตมารมันก็ออกไปยืนคุยกันไกลๆ จิตแม่ทาที่มีสติรู้อยู่กับผู้รู้ก็ได้ยินเสียงพวกมันคุยกันว่า “พรุ่งนี้เราไปโกหก (ทำให้มันหลงในร่างกายตน) มันอีกนะ ไปยั่วมันอีกนะ ให้มันจนมันว่าไม่เหลือ ให้เอามันมาจนเป็นพวกเดียวกันกับพวกเราเลยแล้วค่อยไปหามันใหม่” จิตแม่ทาก็คึกคะนอง “มา”หลังจากที่ได้พิจารณาด้วยการมีสติจนมีการแยกแยะรู้จักตัวกิเลสของจิตมารได้ จิตแม่ทาก็สงบอยู่กับสติ พอเวลาผ่านไปได้ 2-3 คืนจนเข้าสู่คืนที่ 4 การบำเพ็ญภาวนาเจริญสติควบคุมจิตของแม่ทาก็ได้มีพวกกิเลสมารเข้ามาเพื่อที่จะก่อกวนให้จิตแม้ของแม่ทาไม่สงบ หวาดกลัวละคลายจากความเพียรคลายสติออกจากผู้รู้ที่เฝ้าระวังจิตแท้ของตน ขณะที่แม่ทาภาวนาพิจารณาดูจิตตนอยู่นั้น พวกกิเลสจิตมารก็มาแสดงตนปรากฏเป็นรูปร่างกายคล้ายแม่ทา มาปรากฏในนิมิต พวกมันพากันมายืนเท้าเอวทำปากส่งเสียง “ฮึ นั่งก็นั่งหาสะแตกอะไร” จิตแม่ทาก็เฉยนิ่งไม่สนใจ พวกจิตกิเลสมารก็พูดยั่ว “ทำท่าไม่ได้ยินล่ะสิ กูพูดอยู่นี้ไม่ได้ยินสิท่า” แม่ทาก็นิ่งเฉย กิเลสมารไม่ละความพยายาม ได้มาพูดกวนใจให้แม่ทารำคาญ “ถ้าว่ามึงดีกูอยากจะดูกระดูกมึงน่ะ เอามันออกมาให้หมดซิ” แม่ทา (จิต) ก็ร้องบอก “ทำไมมันถึงมาบังคับกูอย่างนี้ ก็ก็ไม่กลัวมันเหมือนกัน ก็จะเอามันหมดทุกอย่าง” แล้วถามไปว่า “มึงชอบส่วนใด จะเอาออกให้หมดเลย มึงทำไมบอกกูได้แท้น้อ กูก็จะทำตามมึงหมดน่ะ แต่ว่ามึงจะทำได้เหมือนกูไหม” กิเลสจิตมารพูดอวดตัว “ทำได้แต่ว่ากูไม่ทำให้มึงเห็น” แม่ทาก็ตอบกิเลสมารว่า “มา กูไม่ยอมที่จะเสียดุลมึง กูต้องเอาออกได้ มึงจะให้กูเอาส่วนไหนออกก่อน” กิเลสจิตมารก็ร้องท้าทาย “เอาออกหมดเลย ตรงข้อแขน ข้อขาน่ะ” ขณะนั้นแม่ทาก็พิจารณาตามสติปัญญาด้วยตนเองเนื่องจากไม่มีครูบาอาจารย์ อ่านหนังสือไม่ได้เขียนไม่ออก ความรู้ด้านธรรมปัญญาก็ยังไม่แจ้งประจักษ์ แต่ก็ได้เพียงอาศัยขันติ วิริยะในจิตใจที่อาจหาญไม่เกรงกลัวใดๆ จะตายก็ขอให้จิตเป็นหนึ่งอยู่กับ พุท-โธ ให้ได้ก็ถามตนว่า “โอ้ มันใช่อะไรหนอ” กิเลสมารก็ร้องบอก “กูก็คือเพื่อนมึงนั่นแหละ” แม่ทาก็ถาม “เพื่อนอะไรหนอ” กิเลสก็ตอบว่า “กูก็คือเพื่อนก็เพื่อนนี่แหละ” กิเลสจิตมารยังได้พูดข่มขู่ใส่แม่ทาหมายจะทำให้เกิดความกลัว กิเลสนี้เองที่มันคอยเข้าครอบครองหัวใจสัตว์โลกไม่ให้เกิดปัญญาไม่ให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม กิเลสนี้ตัวความยึดมั่นถือมั่นในกายตัวกายตนถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา ไม่รู้จักทุกขัง อนิจจัง อนัตตา จิตไม่แจ้งประจักษ์ในไตรลักษณ์ญาณ จิตแม่ทาก็รำพึงในจิต “เอาก่อนน้า เราจะปลดมันตรงนี้ออกล่ะ” ว่าแล้วจิตแม่ทาก็ได้กำหนดดูในกรรมฐาน 5 คือ พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พิจารณาก็ปรากฏว่าสิ่งเหล่านี้ก็หลุดออกมาลงพื้นจนหมด แม่ทาใช้จิตพิจารณาดูก็เห็นเป็นครั้งแรกก็ไม่ได้หวั่นไหว ไม่ตกใจ จิตไม่ถอนไม่หวั่นต่อสิ่งที่ได้ประจักษ์ในกายตน แต่คำว่าหวั่นไหวกลัวของจิตก็มีเป็นธรรมดาของปุถุชนที่ยังมีความรัก ความอาลัยต่อสังขารร่างกายตน จิตแม่ทาเองจะบอกว่าไม่หวั่นไหวก็ไม่เชิง แต่หวั่นเพียงนิดเท่าเพียงเมล็ดข้าวเท่านั้น สติก็ได้ระลึกได้ “ช่างมัน ตา (นัยน์ตา) กูไม่อยากดูก็ได้เห็น” จิตของแม่ทานั้นก็อยู่ตรงกลางของกรรมฐาน 5 ที่หลุดร่วงออกจากร่างกายลงไปกองอยู่กับพื้น จิต จะมีความรู้สึกคล้ายดั่งตัวเองเป็นต้นไม้ ต้นไม้นั้นก็มียาง มีเปลือกไม้หลุดร่วงออกจากต้น จิตของแม่ทาก็ได้พิจารณาเห็นอวัยวะภายนอก (กรรมฐาน 5) หลุดออกจากร่างกาย เนื้อหนังที่หลุดร่วงออกจากกายกองอยู่บนพื้นก็สั่นระริกๆจิตแม่ทาเห็นเนื้อหนังตัวเองเป็นเนื้ออ่อนๆ เต้นระริกๆ จึงได้เอามือไปจับดูก็มีความรู้สึกว่าอ่อนนุ่มคล้ายยางไม้ คล้ายยางของต้นงิ้ว แล้วก็พิจารณาเพ่งดูโครงกระดูกของตนเห็นเป็นแต่โครงกระดูกนั่งอยู่ แล้วก็เกิดรู้ขึ้นมาว่า “โอ กระดูกมันเป็นอย่างนี้หรือนี่” แม่ทาก็เพ่งดูร่างกายตน กิเลสมันก็มายืนดู “มึงต้องตายแท้ มึงต้องตายแท้” กิเลสมัน มาพูดขู่ให้จิตแม่ทาหวั่นไหว แล้วแม่ทาก็มาจับกระดูกดูบริเวณข้อต่อ ก็เห็นว่ากระดูกบริเวณส่วนหัวเข่าที่ต่อกันเป็นกระดูกอ่อน บริเวณข้อแขนเป็นกระดูกอ่อนประกบกันค้ำไว้ กระดูกบริเวณสะโพกเอวก็เป็นคล้ายลักษณะเพิงหินยกขึ้นลงไปซ้อนกันเป็นชั้นๆ แม่ทาก็พิจารณาดูกระดูกในร่างกายของตนก็รู้แจ่มชัดรู้อยู่ในลักษณะอย่างไร กิเลสจิตมารก็มาพูดแหย่ว่า “โอ้ มึงทำไมเอาออกได้อย่างนี้ ตายแท้ๆนะ” แต่แม่ทาก็ไม่สนใจในตัวของพวกกิเลส ผู้รู้ก็ตอบบอกจิตแม่ทาให้ทราบ “มองดูให้ชัดๆพิจารณามากๆ” จิตแม่ทาก็รู้ตามเป็นจริง “โอ้มันก็เป็นอย่างนี้หรือ” จิตเห็นร่างกายตนจะรังเกียจก็ไม่รังเกียจแล้ว ก็เพ่งพิจารณาดูอยู่อย่างนั้น แล้วจิตแม่ทาก็ได้มาเพ่งดูกรรมฐาน ผม ขน เล็บ หนังที่หลุดออกจากร่างกายกองอยู่กับพื้น พิจารณาเพ่งดูตามความเป็นจริงของสังขารร่างกาย ก็ได้เห็นว่าเนื้อหนังส่วนต่างๆ ได้แปรสภาพเป็นเมล็ดข้าวสาร ส่วนโครงกระดูกร่างกายก็ยังทรงโครงกระดูกอย่างนั้น ก็เห็นแต่เส้นเอ็นในกระดูกไม่มีเลือด (เหมือนอย่างที่เราเห็นเขาลอกเนื้อไก่ออกจนเป็นโครงกระดูก) แม่ทาก็จับดูโครงกระดูกแล้วก็มาจับดูบริเวณส่วนเนื้อหนังที่กองอยู่กับพื้นที่กลายสภาพเป็นเมล็ดข้าวสารเต็มไปหมด แล้วแม่ทาก็พิจารณาว่า “โอ้ ทำไมมึงคือเป็นเมล็ดข้าวสารหมด ทำไมเป็นอย่างนี้หนอ ?” จากนั้นแม่ทาก็พิจารณาดูเมล็ดข้าวสารก็เห็นว่าเมล็ดข้าวสารนั้นค่อยๆ แปรสภาพเป็นข้าวปลายที่ละเอียดๆ คล้ายถูกบด จิตแม่ทาเห็นดังนั้น “ฮ่วยเมล็ดข้าวสารทำไมกลายเป็นข้าวปลาย” ก็เพ่งพิจารณาดูต่อไปหลังจากนั้นข้าวปลายก็ค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นแกลบแก่ๆ จิตกายทิพย์ที่เห็นสภาพเนื้อหนังของตนกลายสภาพเป็นแกลบก็ถามว่า “ฮ่วยทำไมมีแกลบ โอ้มันเป็นอย่างนี้หรือ” แม่ทาก็เพ่งดูต่อไปก็เห็นว่าแกลบแก่ๆ ก็ค่อยๆ แปรสภาพเป็นรำอ่อนๆอีก เมื่อเห็นดังนั้น สัญญาจิตก็นึกถึงคำของผู้เฒ่าผู้แก่ว่า “รำอ่อนนี้มันอร่อย” จิตก็คิดจะไปเอารำอ่อนมากำดู แล้วจิตก็รู้ตัว “โอ้ กูก็เคยเห็นเป็นรำอ่อนๆ แล้วก็ได้ยินเสียง (ผู้รู้) ตอบมาว่า “รู้จักไหม ? ดูให้มันชัดๆ ดูคักๆ ถูกเขาลวงเขาต้มตุ๋นโกหกจริงหรือไม่จริง”แม่ทาก็แปลกใจ “โอ้ย ! เสียงอะไรหนอที่ได้ยิน” เสียงผู้รู้ก็บอกต่อไป “ถูกเขาต้มหลอกลวงหรือไม่ ดูให้มันชัดๆ ดูให้มากๆ (พิจารณาด้วยปัญญา) หลุด (เนื้อหนัง) ออกมันเป็นอะไร? มันเป็นอะไร? พิจารณษดีให้มันแตกฉาน ถ้างั้นตายเผานะ? จิตแม่ทาก็ตอบ “ทำไมว่าอย่างนั้นหนอ” จิตแม่ทาก็ได้รู้จักคำว่า ปัญญาอย่างแท้จริงใจสัจธรรมว่าทุกสิ่งภายใต้กฎไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นก็ย่อมสลายดับไปเป็นธรรมดา จิตแม่ทาก็รู้ว่า “โอ้ สมมติว่าของพวกนี้เน่าเปื่อยสลายไป ถ้ามันดับขันธ์ไปพวกนี้ก็เป็นกระดูกนะนี่” ผู้รู้ก็ตอบ “เอ้อ” กิเลสจิตมารก็ได้เข้ามาหาแม่ทาอีก “มึงยังไม่แล้วหนี้กูน่ะ มึงเอาออกดูแค่นี้เอง” จิตแม่ทาตอบว่า “โอ๊ย กูก็ไม่กลัวมึงเท่าใดหรอกกูก็พิจารณษดูเฉยๆ หรอก กูก็ไม่ได้เอาไป (ยึดมั่นถือมั่น) อะไรหรอก” กิเลสจิตมารที่แสดงตัวรูปร่างคล้ายแม่ทาก็มาบังคับให้แม่ทาทำลายกาย พวกมันพูดว่า “มึงต้องตายนะมึงตายแท้” จิตแม่ทาก็ตอบพวกมันไปว่า “กูไม่กลัวมึงเหมือนกันล่ะเว้ย” พอว่าอย่างนั้นจิตแม่ทาก็ได้มาจับกระดูกแล้วดึงออกมาจากร่างกาย พวกกิเลสเห็นแม่ทาทำได้อย่างนั้นจริงๆ “โอ้ มึงเอาออกได้จริงๆ เว้ย” พวกกิเลสมารนั่นก็เริ่มแสดงอาการหวาดหวั่นต่อจิตแม่ทา แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ “มันเอาออกหมดแล้วคราวก่อนนั้นเราบอกให้มันเอาตับไตออกมาดู เราก็ดูของมันแล้ว คราวนี้มันเอาออกหมดแล้ว ถ้ามันตายจริงๆ จะทำอย่างไร?” พวกกิเลสมารคุยกัน “มันก็มาเป็นเพื่อนเราล่ะสิ มึงจะไปกลัวทำไม เราหกคนมันคนเดียว” จิตแม่ทาก็มิได้สนใจใยดีกับเสียงกิเลสจิตมาร แม่ทาจึงบอกกับตัวเอง “กูเอาออกได้กูก็ต้องเอาเข้าได้ล่ะ” กิเลสจิตมารมันก็คุยกันว่า “ถ้ามันเอาเข้าได้ล่ะ” กิเลสพวกเดียวกันก็ตอบว่า “ก็ฆ่ามันทิ้งเลย” แล้วมันก็มาบอกแม่ทาว่า “เอาอย่างนี้ซะ ก็มาอยู่รอวันรอคืนกันนานแล้ว เอาเข้าดูซิ ยังไงมึงต้องมาเป็นเพื่อนกับกูต่อไปอีก” แล้วกิเลสจิตมารก็ได้ใช้มือมาคนกองกระดูกส่วนต่างๆ ที่กองอยู่ของแม่ทาให้ปะปนกันแล้วมันร้องบอกแม่ทา “ถ้ามึงเอาเข้าไม่ได้ระวังมึงให้ดี มึงต้องมาเป็นเพื่อนกูเดี๋ยวนี้” จิตแม่ทาจึงมาพิจารณา แขนนี้มันต้องคว่ำลงถึงจะเอาเข้าได้ แขนนี้เป็นแขนซ้ายท่อนบน ส่วนอีกแขนต้องเป็นแขนขวาท่อนบน ถ้าต่อแขนท่อนบนเข้าบริเวณหัวไหล่ไล่ต่อเข้าข้างเดียวมันจะเอียง ถ้าจะต่อข้างเดียวไม่ได้การแน่ จิตผู้รู้ก็ผุดตอบว่า “ให้ใส่ทีละข้างก่อนเด้อ” แม่ทาก็ค่อยๆพิจารณาดูแขนท่อนบนทั้งสองนำมาเทียบกันดู ถ้าเท่ากันก็แสดงว่าเป็นส่วนเหมือนกัน แต่เป็นคนละด้านก็ดูว่าอันไหนด้ายซ้ายด้านขวา แล้วก็นำมาต่อเข้ากับช่วงรอยต่อบริเวณหัวไหล่แล้วแกว่งดูเพื่อจะให้แน่ว่าเข้ากันได้ไหม พวกกิเลสจิตมารก็เฝ้าดูแม่ทาต่อโครงกระดูกตนเอง แล้วแม่ทาก็เอาแขนต่อกันใส่ไป ปรากฏใจว่าไม่เข้าเพราะมันมีส่วนที่ค้ำกันอยู่ ถ้าเข้ากันสนิทมันจะล็อคกันแน่น แต่ก็ปรากฏว่าไม่เข้า ก็พยายามหมุนให้เข้ากับข้อต่อ จนในที่สุดแขนก็ต่อเข้ากับบริเวณหัวไหล่ได้ แล้วจึงนำท่อนแขนส่วนล่างต่อเข้ากับบริเวณข้อศอกซึ่งมันจะเป็นง่ามสามง่าม เมื่อต่อเสร็จแล้วทั้ง 2 ด้านก็มาต่อกระดูกช่วงขาซึ่งเป็นส่วนที่ยาก เพราะมีกระดูกส่วนกลางขา (หัวเข่า,ลูกสะบ้า) กั้น ต้องต่อกระดูกขาเข้าในส่วนบริเวณนี้แล้วกระดูกส่วนนั้นต้องไม่งับลง เพราะเอาออกมาไม่หมด เหลืออยู่ตัวหนึ่ง ถ้าเป็นรถจะเรียกว่าบังโคลน แม่ทาก็พยายามสวมหัวเข่าท่อนขาจนสามารถนำมาประกอบเข้าล็อคได้ตามปกติทั้งสองด้าน เมื่อประกอบกระดูกทุกส่วนเข้ากันดังเดิมแล้ว ทันใดนั้นส่วนที่เป็นเนื้อหนังก็ปรากฏขึ้นมาที่โครงกระดูกอย่างอัตโนมัติ เมื่อพวกกิเลสจิตมารมองเห็นว่าแม่ทาทำได้ดังนี้มันจึงค่อยๆ พากันเดินโบกมือลาจากไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเวิ้งน้ำ


ไม่มีความคิดเห็น: