ธรรมมะ ย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

จิตพิจารณาสักกายทิฐิ


จิตแม่ทารู้เห็นแล้วได้พิจารณาดูร่างกายของตนเองอย่างละเอียดจนเห็นอวัยวะทั้งภายในภายนอกของตนอย่างละเอียดด้วยความมีสติปัญญา การที่จิตของแม่ทาจะดับลงจากสักกายทิฐิได้จริงๆ มีวิธีการเดียว โดยการนั่งพิจารณาร่างกายของตนเองจนแจ้งชัดในภูมิวิปัสสนากรรมฐาน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ที่ได้ฝึกสติจนตั้งมั่นเป็นสมถะ จิตมีพลังอำนาจสูงจากการฝึกสติอยู่กับพุทโธได้ 6 ปี แม่ทาก็พิจารณาทบทวนดูจิตเพ่งดูแต่ในกายตน สักพักก็ได้เห็นนิมิตเป็นกองฟืนแล้วมีไฟลุกพรึบท่วมกองฟืน ร่างของแม่ทานอนนิ่งเหมือนคนตาย เมื่อเห็นดังนั้นแม่ทาก็คิด “เอกูจะเอาร่างกายมาเผานี่ ทำไมไฟจึงลุกก่อน ควรที่จะให้เอาร่างกายนี้ไปตั้งกองฟืนแล้วค่อยจุดไฟ” จิตแม่ทาก็ได้ยินเสียงผู้รู้ตอบให้ทราบว่า “มันจึงรวดเร็วทันใจ” แล้วจิตแม่ทาก็ได้นำร่างกายของตนใส่ไปในกองไฟ ไฟก็ลุกท่วมเผาร่างกาย แล้วแม่ทาก็หาท่อนไม้ท่อนฟืนใส่สุมเข้าไปเพื่อให้ไฟไหม้ร่างกายให้หมดทั่วถึง ไฟก็เผาร่างกายให้หมดทั่วถึง ไฟก็เผาร่างของแม่ทาจนมอดดับลง จิตแม่ทาก็ได้เดินเข้าไปเขี่ยดูในกองขี้เถ้าดูว่ามันไหม้หมดหรือไม่ ก็พบชิ้นส่วนอวัยวะบางส่วนเป็นสีเทาๆ “มันทำไมเป็นสีเทาหนอ ส่วนนี้” จากนั้นก็เขี่ยไปเรื่อยๆ แล้วก็พบเห็นมีลิ้นยาวๆแลบลิ้นออกมาให้ดู แล้วก็เห็นลูกนัยน์ตากะพริบปริบๆมองมาที่แม่ทา แม่ทาก็ได้กำหนดพิจารณาให้มีกองฟืนอีกครั้ง แล้วกำหนดพิจารณาร่างกายขึ้นมาใหม่แล้วเพ่งไฟให้ไปเผาร่างกายเพื่อไม่ให้เหลือเศษชิ้นอวัยวะแม้แต่น้อย เมื่อไฟมอดก็ไปเขี่ยดูอีก ปรากฏเหลือนัยน์ตาเท่านั้นที่ไม่ยอมไหม้สลาย แม่ทาก็กำหนดจิตพิจารณาเพ่งไฟเผาร่างกายตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น แต่ก็ยังปรากฏว่าลูกนัยน์ตาก็ไม่ยอมไหม้ไฟเสียที จิตกายทิพย์แม่ทาก็เดินวนดูรอบๆ ลูกนัยน์ตา ลูกนัยน์ตานั้นก็กลิ้งกลุกๆ ตามแม่ทาตลอด แม่ทาเห็นดังนั้นจึงร้องบอก “ฮ่วย กูทำไมมาสูญ (โมโห) มากแท้ นี้กูจะทำอย่างไร เอาอะไรสับให้มันแตก” พูดดังนั้นก็ปรากฏว่ามีพลั่วมาสับลงไปที่ลูกนัยน์ตาจนแตกกระจาย แล้วแม่ทาจึงได้มาพิจารณาในกายรู้เห็นตามสภาวะเป็นจริง จิตรู้เห็นตามความจริง รู้แจ้งชัดในปัญญา รู้ว่าร่างกายของคนเรามนุษย์สัตว์ ใครๆก็ตาม เป็นร่างกายเปื่อยเน่าเป็นซากศพ เป็น โครงกระดูกก็ถูกนำไปเผาไฟเหลือแต่เถ้าถ่านครั้นฝนตกชะลงมา กาลเวลาผ่านไปนานวันก็ถูกดินทับถมลงไป จนเถ้าถ่านนั้นกลายเป็นดิน กลายเป็นต้นไม้ เถาวัลย์เป็นหญ้า กลายเป็นป่าเป็นดงต่อไป เมื่อรู้เห็นเช่นนี้ตามสภาวะความเป็นจริงแล้ว สักกายทิฐิคือความติดและหลงอยู่ในร่างกายของตนก็ถูกตัดขาดไป การละสักกายทิฐิคือ การละความยึดมั่นถือมั่นในกายตน ทำลายให้ขาดสะบั้นจากจิต ภูมิธรรมปัญญาแห่งการละสังโยชน์ 3 ประการ คือ ละสักกายทิฐิ (ความเห็นเป็นเหตุถือตัวถือตน) ละวิจิกิจฉา (ละความลังเลสงสัย) ละสีลัพพตปรามาส ละในการลูบคล้ำข้อวัตรปฏิบัติ(ศีล) ก็สามารถต่อกรกับกิเลสต่างๆ จนรู้แจ้งชัดประจักษ์ในจิตของตนเอง รู้ตนเองด้วยปัญญาธรรม บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้นไม่นับตั้งแต่ได้ฝึกสติอยู่กับองค์บริกรรมพุท-โธมาตลอดเวลา 7 ปีเต็มๆ ไตรลักษณ์ญาณแจ้งชัดในเรื่องสังขารร่างกาย ละความยึดมั่นถือมั่นในกายตน จิตมีพลังอำนาจสูงรู้แจ้งเพราะการได้ฝึกสติจนเป็นสมถะสู่การเดินปัญญาด้วยจิตสู่วิปัสสนาญาณภูมิ การรู้เห็นสิ่งต่างๆ ก็ยิ่งแม่นยำรู้ละเอียดขึ้นเพราะมิได้เอาความคิดเห็นแก่ร่างกายตนมาเป็นอารมณ์ แม่ทาฝึกสติกับพุท-โธ รู้แจ้งเห็นชัดดังกล่าวก็ยิ่งเกิดความมุ่งมั่นยิ่งขึ้นกับการฝึกสติเพื่อให้จิตเป็นอารมณ์เดียว...เอาจิตเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง จะเพ่งมองดูอะไรก็พอรู้พอทราบเข้าใจชัด จะออกไปทำนาเลี้ยงควายหุงข้าว จิตแม่ทาก็ไม่พลาดจากสติพุท-โธ รู้อย่างเดียวคือ พุท-โธ

ไม่มีความคิดเห็น: