ธรรมมะ ย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ป่วยใจพบทุกข์ก่อนพบธรรม

ป่วยใจพบทุกข์ก่อนพบธรรม


เมื่ออยู่ร่วมกับญาติสามีมีความทุกข์ใจเป็นล้นพ้นอย่างนี้แล้วจึงก่อให้แม่ทาเกิดความตรอมใจ ข้าวก็กินไม่ได้ น้ำก็ไม่ค่อยจะกิน เป็นเช่นนี้จนนานวันเข้าร่างกายก็ค่อยซูบผอมลงทีละนิดๆ แข้งขาแขนก็อ่อนแรงไม่มีเรียวมีแรงพอจะช่วยเหลือตนเองได้ ขาแขนก็เล็กนิดเดียวซูบผอมจนเนื้อหนังติดกระดูก จะลุกเดินไปไหนก็ไปไม่ได้ด้วยตนเอง สามีคู่ทุกข์คู่ยากผู้มีน้ำใจประเสริฐก็คือพ่อบุญเหลือก็พยายามนำยาชนิดต่างๆมารักษา แต่ก็ไม่ดีขึ้น จะรักษาทางกายด้วยวิธีใดๆ ก็ไม่ดีขึ้น เพราะไม่ได้ป่วยโรคภัยไข้เจ็บอะไรเป็นเพียงอาการของโรคป่วยใจ ภายในจิตอันเด็ดเดี่ยวประจำนิสัยของแม่ทานั้นตั้งใจเพียงอย่างเดียวว่าจะกลั้นใจตายให้ได้ อยากให้ตัวเองตายเพราะคิดว่าญาติสามีจะได้พากันอยู่สุขสบาย พอนานวันเข้าจากที่ข้าวปลาอาหารก็กินไม่ค่อยได้ พอจะกลืนข้าวลงสู่กระเพาะอาหาร ปรากฏว่าข้าวนั้นก็กระเดียดออกคือ กระเพาะอาหารไม่ยอมรับอาหารแม้แต่น้ำก็ไม่ค่อยจะดื่มจนกระทั่งวันหนึ่งแม่ทาได้กอดลูกน้อยสองคนไว้ในอ้อมแขนแล้วรำพึงในใจว่า "ถ้าเราจะตายก็จะกดลูกตายคามือเลย" ด้วยหวังว่าลูกก็จะให้ตายไปด้วยเลยเพราะเกรงว่าพวกญาติสามีจะรังเกียจลูกของตน แต่ก็เป็นด้วยบุญ ใจไม่ขาดสักทีกลั้นใจจะให้ตายก็ไม่ตาย ใครผ่านมาเห็นแม่ทาอุ้มลูกน้อยอยู่ในลักษณะนี้ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "กลัวผีมันมาหลอก" แม่ทาตกอยู่ในสภาพที่มีแต่ทรงกับทรุดจนไม่สามารถไปไหนได้ด้วยตนเอง ได้แต่เพียงนอนเฉยๆ แต่พ่อบุญเหลือก็ได้หาทอดทิ้งไม่ ได้อุ้มแม่ทาไปอาบน้ำชำระร่างกายให้ ซึ่งก่อนหน้านี้พ่อบุญเหลือก็พาตัวแม่ทาไปทำการรักษายังสถานที่หมอเก่งๆ จนทั่วแล้วแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้นจนหมดทางรักษา ไม่ว่าจะเป็นหมอแผนโบราณ หมอผี หมอพระ พระหมอ แม่ทาก็มิได้หวั่นในเรื่องที่จะต้องถูกรักษาตามวิธีการต่างๆ ของหมอแต่ละประเภท เมื่อร่างกายอ่อนแอไม่กำเริบจิตใจก็มั่นคงเด็ดเดี่ยว แม่ทาก็เริ่มจะเห็นพวกภูตผีวิญญาณต่างๆ ทางจิตที่ผู้อื่นไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต่อมาพ่อบุญเหลือนำตัวแม่ทาไปรักษากับหมอพระรูปหนึ่ง ชาวบ้านแถบนั้นเล่าลือกันว่าท่านนั้นเก่งกาจนักเก่งกาจหนา สามารถทำให้เลือดลมต่างๆ ของคนเดินปกติก็เห็นผลหลายราย พระรูปนั้นก็ได้สันนิษฐานว่าแม่ทานี้ถูกพวกผีวิญญาณเข้าสิง แม่ทาตอบออกไปว่า "ไม่ใช่ผีเข้าน่ะอาจารย์ เพราะว่าป่วยใจ ให้อาจารย์นี้ใช้จิตมาดูซิว่าดิฉันป่วยใจจะแก้ด้วยวิธีใด?" ป่วยใจที่ถูกญาติสามีพากันรังเกียจอาการป่วยใจเลยกำเริบออกทางกายจะกินจะดื่มน้ำก็ไม่ได้ พระรูปนั้นก็บอกว่า "ไม่ใช่หรอกมันถูกผีไร่ผีนาสิง" แม่ทาตอบว่า "นาอยู่ไหน นามันไม่มีผี" พระรูปนั้นถามว่า "เจ้าคือรู้ว่านาเจ้าผีไม่มี" แม่ทาตอบ "มีอยู่แม่ตาแฮก แต่ว่าผีที่จะมาทำล่วงเกินในร่างกายนี้ไม่มีหรอกอาจารย์" พระรูปนั้นก็แย้งว่า "เจ้ารู้ได้นี่ เจ้าเถียงเรา ผีนะนี่" แม่ทาก็แย้งกลับว่า "มันไม่ใช่ผีแต่เป็นจิตใจพูดจริงๆ อาจารย์" แม่ทาเองถึงจะถูกนำไปรักษากับหมอพระที่เก่งทางไสยศาสตร์ก็มิได้วิตกก็เพราะรู้ตนเองดีว่าไม่ได้ล้มป่วยเป็นเลือดคั่งหรือเบลอเผลอสติใดๆ แม่ทาจะเป็นประสาทแม่ทาก็จะรู้ตนเองว่าจะมีอาการปวดศีรษะ แต่นี่ไม่ได้เป็นอะไรเป็นเพราะป่วยใจอย่างเดียว พระรูปนั้นจึงได้ไปนำมีดดาบออกมา แล้วเงื้อมมือจะฟันลงพร้อมพูดดุเสียงดังว่า "ผีนะนี่" แม่ทาจึงร้องบอก "โอ้ย ! จะมาฟันอย่างไร ไม่ใช่ผี" พระรูปนี้ตั้งใจจะนำมาขู่เพราะคิดว่าในกายของแม่ทามีผีสิง แม่ทาจึงร้องตอบว่า "มันฟันไม่ถูกผีหรอกท่านอาจารย์ ฟันผีแต่ถูกดิฉัน ถ้ามีผีจริงข้าน้อยจะจับคอมันเลย" พระรูปนั้นก็บอกว่า "ทำอย่างไรเจ้าจึงจะจับได้ละ แม่ออกผีออกเจ้าก็ไม่เห็น" แม่ทาร้องบอก "เห็นอย่างไรก็ต้องเห็น คนจะตายแล้วก็ต้องเห็นหมดทุกผี" แม่ทาเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตของท่านเพิ่มเติมว่า "มันใช่อยู่นะ คนที่กำลังจะตายมันจะเห็นหมดทุกผี (วิญญาณ) เห็นทุกอย่างแต่ว่าเขาไม่มาเอา (ชีวิต) เรา คือจะมีผู้ใช้ (ยมทูต) ให้มาดูให้ไปรับเอาดวงวิญญาณผู้นั้นผู้นี้มา วิญญาณก็จะพากันมาดู แล้วเมื่อยังไม่ถึงที่ตายเขาก็จะพากันกลับ วิญญาณเขาเข้ามาบอก" ในขณะนั้นแม่ทาก็ได้พูดกับผีวิญญาณต่างๆ ตลอดในช่วงที่ป่วยใจ ร่างกายผ่านผอม หนังติดกระดูก แต่ว่าพระรูปนั้นเข้าใจว่าแม่ทาถูกผีเข้าแล้ว ได้ไปนำด้ายมาผูกแขนถ่วงแม่ทาเพื่อท่านจะตี แม่ทาจึงร้องบอกว่า "ผูกก็ผูกได้อาจารย์ แต่ขอว่าแต่อาจารย์อย่ามาตีฉันเด้อ ถ้าตีมันจะเป็นประสาท นี่จะทำอย่างไรหากเลือดตกยางออก จะอยู่ยากนะอาจารย์" พระรูปนั้นก็ไม่ได้ลงมืออะไรต่อแม่ทา แม่ทาจึงกลับบ้าน แต่อาการของแม่ทาก็ยังไม่ดีขึ้นถูกนำไปรักษายังสถานที่ต่างๆ ตลอดช่วงเวลา 1 ปี อาการต่างๆก็ยังไม่ดีขึ้น บางครั้งก็ถูกนำไปรักษาไว้ที่วัด แม่ทาก็อยู่วัด พักในวัด นอนก็นอนแบบนิ่งๆพ่อบุญเหลือเห็นว่าอาการของภรรยาไม่ดีขึ้นจึงได้นำตัวกลับมารักษาที่บ้านมานอนอยู่ที่บ้าน สามีนำอาหารข้าวต้มมาใส่ปากให้กินก็กินไม่ได้ กินไม่ลง ขณะที่ป่วยใจญาติสามีก็จะมาพูดจาถากถางอยู่ตลอดเวลา จนในวันหนึ่งขณะที่แม่ทานอนหายใจรวยรินอยู่นั้น ก็ได้ฝันเห็นหลวงปู่ท่านต่างๆ บางท่านเดินบิณฑบาตมาหา ชี้ถามดูจิตในฝันก็รู้ว่าเป็นหลวงปู่รูปนั้นๆ แล้วแม่ทาจึงรู้ตัวรำพึงกับตัวเองว่า "เราจะตายจริงๆ หรือ ถ้าเราจะตายนี้เป็นอะไรก็ช่าง แม้แต่พวกเทพพรหมก็ตามผู้อยู่สูงอยู่ต่ำอยู่เบื้องบนที่ใดก็ตาม ถึงแม้ว่าดิฉันจะตายจริงๆ ก็ขออย่าให้ลูกดิฉันหนีไปไกลเด้อ จะเอาลูกดิฉันตายด้วยกัน" ด้วยความวิตกของแม่ทาในสมัยนั้นว่า ถึงสามียังอยู่ก็จริงแต่กลัวเขาจะเลี้ยงลูกๆ ที่ยังเล็กๆ ไม่ได้สมบูรณ์ ถ้าเขาไปมีภรรยาใหม่เขาจะไม่รักลูก นอนรำพึงอยู่อย่างนี้เพียงลำพังคนเดียว ขณะนั้นเองสติทุกอย่างของสภาวจิตของแม่ทายังสมบูรณ์ปกติทุกอย่าง ยกเว้นอาการป่วยทุกข์ทรมานใจแล้วแสดงออกมาทางกาย ขณะนั้นเองได้มีเทวดาจำนวน 6 ตน ได้พากันเดินเข้ามาหาแม่ทาในนิมิต (ขออธิบายคำว่านิมิตซึ่งมีด้วยกัน 3 อย่างคือ อุคคหนิมิต ปฎิภาคนิมิต และอสุภนิมิต)อุคคหนิมิต คือ เมื่อนักภาวนาเจริญภาวนาไปจนจิตสงบ บ้างจะเห็นรูปบุคคลภายนอกเดินมาหรือผ่านมาให้เห็น อาจจะเป็นวิญญาณชั้นภูมิต่างๆ หรือพ่อแม่ครูบาอาจารย์รูปใดรูปหนึ่งมากบ้างน้อยบ้าง บ้างก็จะเห็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ปรากฏต่อหน้าปฏิภาคนิมิต คือ การปรากฏนิมิตภาพ บุคคลวัตถุต่างๆ มาปรากฏอยู่เฉพาะหน้าหรือตายลงเฉพาะหน้า เราจะกำหนดให้ภาพนั้นไกลหรือใกล้ก็ได้อสุภนิมิต คือ พอจิตรวมลงก็จะมองเห็นร่างกายของคนตายกลายเป็นศพเน่าเปื่อยสลายไปหมดหากจะถามว่านิมิตกับฝันขณะนอนหลับแตกต่างกันอย่างไร "นิมิตในภาวนามันชัดจิตหรี่รวมลง สติมีอยู่รู้ที่ใจ จิตสติรู้ลงไปก็จะมองเห็นภาพต่างๆ รูปต่างๆ แต่ในสิ่งที่จิตรู้เห็นนั้นยังมีสติ (ความระลึกรู้ตัว) อยู่ แต่ภาพที่เห็นขณะนอนหลับฝัน (เพราะขาดสติ) ไม่มีสติรู้ตัว..."เทวดาเหล่านั้นเป็นเทวดาเพศหญิงสวมเสื้อแขนกระบอกมีผ้าสไบเบี่ยงทั้ง 2 ข้างทับไหล่ สีเสื้อเป็นสีทองคล้ายสีไข่ไก่ เนื้อผ้าสีมุก นุ่งผ้าเป็นคล้ายชุดไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง สวมประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับสวยงามแพรวพราว เทวดาเหล่านั้นได้เข้ามาสั่งบอกแม่ทาขณะที่กำลังนอนอยู่อย่างมีสติ "เจ้าบ่ตายหรอก" แม่ทารู้เห็นเช่นนั้นจึงร้องบอกเหล่าเทวดา "อุ้ย พวกท่านอยู่ชั้นสูงแท้ๆ จะมาพูดอะไรกับดิฉันอย่างนี้ ไม่เหม็นฉุนเหม็นสาบหรือ ไม่เหม็นคาวหรือ เทวดาตอบ "ไม่หรอก เห็นแล้วก็น่าสงสารในชาติกำเนิด พวกข้าน้อยอยู่นั้น (เมืองสวรรค์) ก็มิใช่ว่าจะได้อยู่เฉยๆ นะ เอาใจช่วยอยู่นะ" ในเวลาช่วงนั้นเหมือนคนใกล้ตายหายใจรวยริน แม่ทาเรียนบอกเทวดาด้วยความอ่อนน้อมประจำนิสัย "โอยอย่ามาเอาใจช่วยดิฉันเลย ดิฉันก็เพียงเท่านี้ จะรับอะไรได้จากของผู้มีบุญ พวกนางฟ้าท่านก็แบบสุขสบาย ไม่เฒ่าไม่แก่ก็อย่ามายุ่งกับข้าน้อยเลย"ขณะที่กำลังสนทนากัน จิตที่มีสติคอยคุมก็รู้ตัวรู้ในจิตว่าสนทนาอยู่กับเทวดา แต่ไม่ทราบมาจากสวรรค์ชั้นใดเทวดานั้นจึงได้บอกให้แม่ทาได้รู้ว่า "เอาอย่างนี้นะ ต่อไปจะให้แม่ชีมาคุยด้วย เจ้าต้องเอาแม่ชีเป็นอย่างนะ" แม่ทารับทราบแล้วจึงถามออกไปว่า "จะเป็นไปได้หรือแม่ชีจะมาจากไหน" เทวดาเหล่านั้นจึงได้รีบพูดตัดบท "เอาอย่างนี้นะ ต่อไปจะให้แม่ชีมาคุยด้วย เจ้าต้องเอาแม่ชีเป็นอย่างนะ" แม่ทารับทราบแล้วจึงถามออกไปว่า "จะเป็นไปได้หรือแม่ชีจะมาจากไหน" เทวดาเหล่านั้นจึงได้รีบพูดตัดบท "เอาอย่างนี้เท่านี้ก็พอนะ เพราะเวลาของพวกเรามีน้อย มีเวลาจำกัด" เทวดาทั้ง 6 ตนนั้นซึ่งนั่งกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นแถวก็ได้ลุกขึ้นพร้อมกับบอกกล่าว่า "เอ้ากลับล่ะ" แล้วเหล่าเทวดานั้นต่างก็พากันโบกมือให้แม่ทาเป็นการให้กำลังใจ แม่ทาเห็นรูปกายนิ้วมือของเทวดามีความสวยงามดุจพระจันทร์วันเพ็ญก็ไม่กล้ายกมือโบกตอบเทวดา ก็ได้แต่เพียงร้องบอกเทวดาไปว่า "ไปดีเด้อ ไปดีมีชัย ผู้อยู่ก็มีโชค ถ้าบุญผลานิสงส์มีเราจึงมาพบกันใหม่นะ" เทวดาก็ร้องตอบ "โอ้ เจ้าก็มีโอกาสพูดอยู่นะ หายใจดีอยู่ ถ้าหายใจอยู่ให้เป็นหัวใจเป็นวันเป็นความเด้อ ให้หัวใจเข้มแข็งมีกำลังกาย เราคงไม่ได้เห็นกันอีกหรอกนะ เจ้าคอยเล่ากับแม่ชีเด้อ ไปล่ะ" เมื่อแม่ทาได้ทราบเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ได้รำพึงกับตนเองเรานี่ใกล้จะตายแล้วหรือถึงได้มีผู้มาเรียกมาถามด้วยคุยกัน"


ไม่มีความคิดเห็น: