ธรรมมะ ย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

บทสวดชัยใหญ่-ชัยน้อย,นะโมเม


ขอฝากบทสวดมนต์ ชัยยะมังคะลัง

(บทสวดชัยใหญ่-ชัยน้อย,นะโมเม)

สวดเพื่อชัยชนะ (ท่านชอบสวดในเวลาที่มีสงคราม)



นะโม เม พุทธะ เตชัสสา ระตะนะตะยะ ธัมมิกา เตชะ ประสิทธิ ปะสีเทวา นารา ยะปะระเมสุรา สิทธิ พรัหมา จะ อินทา จะ จะตุโลกา คัมภี รักขะกา สะมุทา ภูตุง คังกา จะ สะพรัหมา ชัยยะ ประสิทธิ ภะวันตุเต



ชัยยะ ชัยยะ ธรณี ธรณี อุทะธิ อุทะธิ นะ ทิ นะ ที ชัยยะ ชัยยะ คะคนละตน ละนิสัยนิรัย สัยเสน นะ เมรุราช ชะพลนระชี



ชัยยะ ชัยยะ คัมภี ระโสมภี นาเคน ทะนาคี ปิศาจจะ ภูตะกาลี ชัยยะ ชัยยะ ทุนนิมิตตะ โรคี ชัยยะ ชัยยะ สิงคีสุทา ทา นะมุขะชา



ชัยยะ ชัยยะ วะรุณ ณะมุขะ ศาตรา ชัยยะ ชัยยะ จัม ปาทินา คะ กุละคัณโถชัยยะ ชัยยะ คัชชะคน นะตุรง สุกะระภุ ชง สีหะ เพียคฑะ ทีปา ชัยยะ ชัยยะ วะรุณ ณะมุขะ ยาตรา ชิตะ ชิตะ เสน นารี ปุนะสุทธิ น ระดี



ชัยยะ ชัยยะ สุขา สุขา ชีวี ชัยยะ ชัยยะ ธ ระณี ตะเล สะทา สุชัยยา ชัยยะ ชัยยะ ธ ระณี สาน ติน สะทา



ชัยยะ ชัยยะ มังกะ ราชรัญญา ภะวัคเค ชัยยะ ชัยยะ วะรุณ ณะยักเขชัยยะ ชัยยะ รักขะเส สุระภุ ชะเตชา ชัยยะ ชัยยะ พรัหมเมณ ทะคะณา



ชัยยะ ชัยยะ ราชา ธิราช สาชชัย ชัยยะ ชัยยะ ปะฐะวิง สัพ พังชัยยะ ชัยยะ อะระหันตา ปัจเจ กะพุทธะสา วัง ชัยยะ ชัยยะ มะเห สุโร หะโร หะริน เทวาชัยยะ ชัยยะ พรัหมา สุรักโข ชัยยะ ชัยยะ นาโค วิรุฬ หะโก วิรู ปักโข จัน ทิมา ระวิ



อินโท จะ เวนะ เตยโย จะกุเว โร วะรุโณ ปิ จะ อัคคิ วาโย จะ ปา ชุณโห กุมาโร ธะตะรัฏฏะโก อัฏฐา ระสะ มะหา เทวา สิทธิตา ปะสะอา ทะโย อิสิ โน สา วะกา สัพ พา ชัย ยะ รา



โม ภะวัน ตุเต ชัยยะ ธัมโม จะ สังโฆ จะ ทะสะปาโล จะ ชัยยะกัง เอเต นะ ชัยยะ เต เชนะ ชัยยะ โสตถี ภะวันตุเต เอเตนะ พุทธะเต เชนะโหตุ เต ชัยยะมัง คะลังชัยโย ปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะปา ปิมะโต ปะรา ชะโย อุคโฆ สะยัม โพธิ มัณเฑ ปะโม ทิตา ชัยะตะทา พรัหมะคะนา มะเหสิโน



ชัยโย ปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะปา ปิมะโต ปะรา ชะโย อุคโฆ สะยัม โพธิ มัณเฑ ปะโม ทิตา ชัย ยะตะทา อินทะ คะณา มะเหสิโน



ชัยโย ปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะปา ปิมะโต ปะรา ชะโย อุคโฆ สะยัม โพธิ มัณเฑ ปะโม ทิตา ชัยยะตะทา เทวะ คะณา มะเหสิโน



ชัยโย ปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะปา ปิมะโต ปะรา ชะโย อุคโฆ สะยัม โพธิ มันเฑ ปะโม ทิตา ชัยยะตะทา สุปัณณะ คะนา มะเหสิโน



ชัยโย ปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มา รัสสะ จะปา ปิมะโต ปะรา ชะโย อุคโฆ สะยัม โพธิ มัณเฑ ปะโม ทิตา ชัยยะตะทา นาคะ คะณา มะเหสิโน



ชัยโย ปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะปา ปิมะโต ปะรา ชะโย อุคโฆ สะยัมโพธิ มัณเฑ ปะโม ทิตาชัยยะตะทา สะพรัหมะคะณา มะเหสิโน



ชะยันโต โพธิย า มูเล สัก กะยานัง นันทิ วัฑฒะโน เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมัง คะเล อะปะรา ชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปก ขะเร อะภิเสเก สัพ พะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโม ทะติ สุนักขัตตัง สุมัง คะลัง สุปะภาตัง สุหุฏ ฐิตัง



สุกขะโน สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณีธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภัณตัตเถ ปะทักขิเณ



เต อัตถะลัทธา สุขิตา วิรุฬหา พุทธะสา สะเน อะโรคา สุขิตา โหถะ สะหะ สัพเพหิญาติภิ สุณันตุ โภนโต เยเทวา อัสมิง ฐาเน อะธิคะตา ฑีฆายุกา สะทา โหนตุ สุขิตา โหนตุ สัพพะทา รักขันตุ สัพพะสัต ตานัง รักขันตุ ชินะสาสะนัง



ยา กาจิ ปัตถะนา เตสัง สัพเพ ปูเรนตุ มะโนระถา ยุตตะกาเล ปะวัสสันตุ วัสสัง วัสสา วะราหะกา โรคา จุปัททะวา เตสัง นิวาเรนตุ จะ สัพ พะทา กายาสุขัง จิตติสุขัง อะระหันตุ ยะถาระหัง



(อิติ จุลละชัยยะสิทธิมังคะลัง สมันตังฯ)



(หมายเหตุ) บทสวดชัยใหญ่ หรือ นะโมเม สวดเป็นภาษาลาว นิยมสวดในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งทางฝั่งลาว และฝั่งไทย เจ้าพระคุณ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ จังหวัด เลย นิยมให้สวดเป็นประจำ โดยเฉพาะในงานมงคลพิธี ท่านกล่าวไว้ว่า ถ้ามีศึกสงคราม หรือมีความยุ่งยากเกิดขึ้นในบ้านเมือง หรือแม้แต่ในครอบครัว ถ้าสาธยายบทนี้เป็นประจำ จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

พุทธทำนาย ภัยพิบัติของโลก

คำพยาการณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า“อานันทะ ดูก่อนอานนท์ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะเกิดการณ์ร้ายแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ ไฟจะลงมาจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชนให้พินาศ จะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก แต่ว่า ดูก่อนอานนท์ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะถือว่าเป็นการณ์ร้ายแรงหาได้ไม่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้วอานันทะ ดูก่อนอานนท์ จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตายกันฝ่ายละมาก ๆ สมณะ ซี พราหมณ์ จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรากัน สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก”พระพุทธเจ้าบอกว่า ค.ศ. 2000 โลกจะไม่สลาย พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ได้ตลอด 5000ปีทรงตรัสชี้ว่า เขตประเทศต่อไปนี้ จะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากจะสามารถทรงพระพุทธศาสนาตลบ 5000ปี นี่หมายถึงประเทศไทยถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้น คนไทยจะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้นในเมื่อเห็นการสูญเสีย ความตายเกิดขึ้น ความทุกข์ก็เกิดขึ้น จิตใจก็เริ่มเป็นกุศล เวลานั้นบรรดาพุทธศาสนิกชนก็จะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น เพราะกลัวตายสำหรับท่านนักปฏิบัติที่เจริญสมาธิจิตก็จะเร่งรัดตัวเอง กำลังใจก็จะมีสมาธิ ในที่สุดอภิญญาก็จะเกิด ในเมื่ออภิญญาเกิดก็จะเอามาช่วยบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มีความสุขปลอดภัย ขอให้ทุกท่านยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้าที่ให้ไว้คือสังคหวัตุ 4 ได้แก่1.1 ทาน การให้ ให้มีการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน สร้างความรักเข้าไว้ อย่าสร้างศัตรู1.2 ปิยวาจา พูดดี พูดให้คนที่รับฟังมีความสุข เขาจะรักเรา เราก็มีความสุข1.3 อัตถจริยา ช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน1.4 สมานัตตตา ไม่ถือตัว ไม่ถือตนพรหมวิหาร 4 ได้แก่2.1 เมตตา ความรัก2.2 กรุณา ความสงสาร2.3 มุทิตา มีจิตอ่อนโยน เห็นใครได้ก็ยินดีด้วย2.4 อุเบกขา วางเฉยเมื่อเหตุร้ายเกิดขึ้น ไม่ดิ้นรน ยอมรับตามความเป็นจริงจงอย่าประมาทในชีวิต จงทรงจิตของท่านให้มีความมั่นคงในคุณพระรัตนตรัย 3 ประการ คือ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีจิตยึด พระพุทธคุณ ให้ภาวนาว่า “พุทโธ”ก่อนจะหลับให้กำหนดการเข้าออกของลมหายใจ หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” และเวลาตื่นนอนใหม่ๆ ทำแบบนี้เป็นปกติ เวลาที่ยังตื่นอยู่ ถ้าคิดขึ้นมาได้เมื่อไหร่ก็ทำใจให้นึกถึงความดีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาวนาว่า “พุทโธ” เป็นปกติอย่างนี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงไตรสรณคมน์ พุทธรัตน ธรรมรัตน และสังฆรัตน ทั้ง 3 ประการ จิตของท่าจะทรงสมาธิ อำนาจบารมีของพระพุทธเจ้าจะทำจิตใจของท่านให้เยือกเย็นมีความสุข อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย ก็จะพ้นภัยด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพถ้าจิตของเราไม่นิยมในขันธ์ 5 หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จิตเราเกาะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระองค์อยู่ที่ไหนเราจะไปที่นั่น ท่านะพ้นจากกิเลส จะเข้าถึงพระนิพพานได้นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ(3จบ)พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งสังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งการเตรียมตัวรับมือภัยธรรมชาติครั้งใหญ่1. ก่อนการเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ 15 วัน โลกจะเอียงก้มหัวให้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือละลาย จะนำไปสู่คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่แผ่นดิน (ปัจจุบันเกิดขึ้นแล้ว)2. เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่เป็นเวลา 49 วัน ในระหว่างเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 3. ฝนตกครั้งใหญ่ทั่วโลก (ระยะชำระล้างเป็นเวลา 7 วัน)*ใน 3 วันแรกจะเกิดสงครามนิวเคลียที่ทวีปเอเชีย ในประเทศที่เป็นอริต่อกันภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้1. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่2. พายุถล่ม3. แผ่นดินแยกและแผ่นดินไหว4. ภูเขาไฟระเบิด (จังหวัดทางภาคกลาง 2 ลูก,ภาคเหนือตอนล่าง 3 ลูก,อีกทั้งที่จังหวัด ราชบุรี น่าน แพร่ อ.ร้องกวาง)5. คลื่นยักษ์จากทะเลา6. โรคระบาดที่สุดจะเยียวยา ได้แก่ Virusteria,อหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่ ผู้ที่ได้รับเชื้อจะเสียชีวิตทันทีภายใน 6 วัน7. คลื่นเสียงที่รุนแรง ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตยังไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนั้นมากก่อน8. อดอยากขาดแคลนอาหารการเตรียมตัวเตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว1. เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3-6เดือน2. เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย ได้แก่ เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำร้อน ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ3. เครื่องใช้ที่จำเป็น4. ที่อยู่อาศัย5. ยารักษาโรค6. ด่างทับทิมและคาราไมล์(จำเป็นมาก) ห้ามกินอาหารที่มาได้ล้างด้วยด่างทับทิม เพราะจะมีทั้งเชื้อโรคและสารกัมมันตรังสี ส่วนอาราไมล์ จะมีไว้รักษาโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมล์แล้ว จะหายได้อย่างน่าอัศจรรย์7. ยานพาหนะ เช่น เรือ เสื้อชูชีพ8. เครื่องช่วยชีวิต9. แสงสว่างเช่น เทียน ตะเกียงพายุ (เวลานั้นท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน เท่ากับ 1 ราตรี และจะมืดมิดรวม 7 ราตรี หรือ 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก)10. เครียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงการดุแลตัวเองในช่วงวิกฤติ1. ห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด ใครมาเคาะประตูบ้านก็ห้ามเปิด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นญาติสนิทหรือคนที่เรารู้จักก็ตาม2. ห้ามตากฝน เพราะในฝนจะมีพิษ ทั้งเชื้อโรคและสารเคมีที่มนุษย์สร้างขึ้น3. ห้ามลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ แต่ถ้าหลีกเลียงไม่ได้ต้องใช้ด่างทับทิมล้างทุกครั้ง4. ห้ามเปิดประตูต้อนรับผู้อื่น เพราะช่วงเวลานั้นประตูมิติของโลกทั้ง 3 ภพ จะถูกเปิดเป็นครั้งแรก ผู้ไม่เชื่อเรื่องผีสาง จิตวิญญาณ ก็จะได้เห็น คนที่มาเยือนอาจเป็นผีเปรต ผีโขมด ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราจำแลงมาก็เป็นได้และห้ามอยากรู้อยากเห็นโดนเด็ดขาด5. ห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด6. ห้ามกินผักที่ยังไม่ได้แช่ด่างทับทิม7. ฝึกการกินน้อย ถ่ายน้อย8. ระวังอากาศที่หนาวเย็น9. ระวังสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษเช่น งูพิษ จระเข้10. ห้ามอยู่ตึกสูงเกิน 3 ชั้น เพราะตึกสูงเกิน 3 ชั้น จะพังทลายราบเป็นหน้ากลองการเตรียมจิตวิญญาณ1. ชำระกรรมให้เบาบางโดย หยุดโลภ โกรธ หลง ทำจิตใจให้สงบเบิกบาน เพราะวันนั้นจะมีผู้ที่เส้นโลหิตในสมองแตก เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เพราะเสียงที่ดังกึกก้องไปกระตุ้นเส้นเลือดในสมองให้แตก ดังนั้น ต้องปล่อยวาง ทำจิตให้เป็นบวก จะช่วยได้มาก2. มีสำนึกทางจิตวิญญาณ3. ฝึกการละวาง4. มีสติรู้ตัวตลอดเวลา5. ฝึกการทำโฆษกรรม ขออภัยต่อเจ้ากรรมนายเวร หรือผู้ที่เราล่วงละเมิดการดูแลแก่นแท้ยามมีภัย1. ได้ยินเสียงใด ให้ละวางสิ่งนั้น รู้เห็นสิ่งใด ให้ละวางสิ่งนั้น ต้องไม่รับรู้ ไม่รับเห็น ไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่ว่าจะได้ยินเสียงคนข้างบ้านร้องเพราะกำลังจะตาย หรือได้ยินเสียงใดที่น่าหวาดกลัว ต้องได้ยินแล้วผ่านเลยไป หากละวางไม่ได้จะเกิดอาการ “ตายก่อนตาย” (รู้ว่าตนเองจะต้องตายแน่ๆ หรือการตายทั้งเป็น)2. ยอมรับให้ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีสติตลอดเวลา3. อย่าอยู่นิ่งเฉย เพราะจะทำให้กลัวมากขึ้น ควรหากิจกรรมทำ เช่น อ่านหนังสือธรรมะ เพื่อให้จิตเป็นบวกเกิดความอิ่มเอิบ4. สังเกตธรรมชาติก่อนนาทีวิกฤติจะเกิดขึ้นลางบอกเหตุก่อนเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ (ระยะ 2 )ท้องฟ้ามืดมิดผิดปกติ ใบไม้จะพลิกคว่ำพลิกหงาย และดูหดหู่ สัตว์ทั้งหลายจะไม่ปรากฏกายให้เห็น แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านจะเห็นมันวิ่งลุกลี้ลุกลนผิดปกติ หรือบางตัวจะนอนนิ่งน้ำตาซึมเรื่องเวลาที่แน่นอนนั้น ขอบอกตามตรงว่า ไม่ทราบ เพราะจริงๆแล้วน่าจะเกิดตั้งแต่ ค.ศ. 1999 ตามที่นอสตราดามุสทำนายเอาไว้ แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ในปัจจุบันแล้ว ภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตนี้ และจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ต่างๆ คิดว่าจะเกิดภายใน 1 – 3 ปีนี้เป็นกรรมของสัตว์โลกนะ ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกว่าระบบจะเริ่มล้างมนุษย์ปลายปี 47 แล้วจะมีเหตุอื่นมาล้างเรื่อย ๆ ด้วยระบบภัยพิบัติทางดิน น้ำ ลม ไฟ โรคระบาดและอุบัติภัยสงคราม และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพระจักรพรรดิลงมาก ภัยพิบัติจึงจะสงบต่อไปที่จะวิบัติหนัก ๆ ก็คือ ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อเมริกา ฯลฯ ในโลกนี้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้เพราะกรรมของมนุษย์เป็นแบบนั้นสำหรับเมืองไทย ต่อไปกรุงเทพฯ ก็มิใช่จะปลอดภัยเพราะฝ่ายรักษาภายในของกทม เริ่มถอนระบบออกไปมากแล้ว และต่อไปภาคใต้แทบจะไม่เหลือ จะเป็นเกาะ แก่งทั้งหมด เราเข้าใจว่าภัยพิบัติในภาคใต้ สัญญาณของยุคจักรพรรดิที่กำลังจะเริ่มต้น ที่จริงมีสัญญาณอย่างอื่นด้วย แต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เช่น เรื่องธาตุแก้วเจ็ดประการที่เริ่มเข้ามาสู่ระบบแล้ว และมีสิ่งของอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่กระจัดกระจายกันอยู่ในหลายประเทศ เป็นต้นครูบาอาจารย์เคยเล่าว่า แค่นาคโก่งหลังขึ้นมามนุษย์ก็ตายเป็นเบือแล้ว ต่อไปบางที่ก็จะหายไปทั้งเกาะ นี่ยังไม่นับภัยพิบัติจากท้าวกกนาคแถวลพบุรีที่ในไม่ช้า (ช่วงท้ายของภัยพิบัติ) จะลุกขึ้นมา (ภายใน) เพื่อไปรอรับพระจักรพรรดิ ขณะที่ทหารลิง 18 กองพล ที่เคยเฝ้ายักษ์ตนนี้อยู่ที่อื่น ครูบาอาจารย์ท่านว่ายักษ์กกนาคตนนี้มีพิษมาก แค่พลิกตัว พิษของยักษ์ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ มนุษย์จะตายไปครึ่งโลก แต่คนที่มีศีลก็ไม่เป็นไรเราค่อนข้างมั่นในว่า ภายในปี 2560 ประเทศไทยจะได้เป็นมหาอำนาจและไทยกับลาวจะรวมกันเป็นหนึ่ง (ประเทศเดียวกัน) ท่านไหนที่ขยันหมั่นเพียรรักษาศีล ภาวนา ก็จะได้มีโอกาสอยู่ในยุคใหม่ต่อไป ส่วนท่านที่ยังไม่มีศีลธรรมพอ ก็คงต้องไปตามวิถีกรรมของตนเองศาสนาอื่นนั้นไม่มีเหลือ เมื่อถึงเวลาแล้วจะหนีตายมาพึ่งศาสนาพุทธกันหมด เท่าที่ทราบต่อไป มหาอำนาจอย่างเช่น อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ จะต้องมาพึ่งพาไทย ศูนย์กลางโลก ศูนย์กลางศาสนา อยู่ในประเทศไทย ซึ่งต่อไป ที่แห่งหนึ่งในประเทศไทย จะเป็นใจกลางโลก ใจกลางศาสนาในยุคจักรพรรดิ ทั้งโลกจะถูกปกครองโดย 3 ร่มโพธิ์ศรีอัญญาสิทธิ์และอัญญาธรรม พระจักรพรรดิจะเป็นพระมหากษัตริย์ของโลกอย่างที่พวกยิงเขาคิดจะครองโลกกันนั้นไปไม่ถึงดวงดาวหรอกเพราะวิทยาศาสตร์ถึงทางตันแล้วเหตุที่เกิดในภาคใต้ซึ่งเป็นเขตพระพุทธศาสนายังรุนแรงขนาดนี้ ต่อไปเหตุที่เกิดในเขตศาสนาอื่นๆนั้น จะรุนแรงกว่านี้มาก และความหายนะที่จะเกิดขึ้นนั้นก็จะมากด้วยถ้าหากศึกษาถึงเชื้อของจิตวิญญาณเดิมของการมาเกิดก็จะเข้าใจว่า อย่างอิสลามและคริสต์นั้น เชื้อจิตวิญญาณเดิมหรือต้นธาตุของจิตวิญญาณของพวกนี้ เป็นพวกยักษ์ ตระกูลต่างๆ ดังนั้น ที่ครูบาอาจารย์ท่านว่า พวกยักษ์นอกศาสนาเขาตีกันนั้นก็พวกยักษ์เหล่านี้แหละที่มีปัญหา และพวกยักษ์เหล่านี้ก็มาเกิดมากในยุคนี้ ส่วนใหญ่ในเขตประเทศไทย และประเทศใกล้เคียงจะเป็นเชื้อนาค เชื้อเทวดา เชื้อครุฑ คนในเขตประเทศไทยส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับการเกิดเป็นเชื้อต่างๆ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับชาติที่ทำบารมีมาเด่นๆ ว่าเคยทำบารมีในภพภูมิไหนมาก ก็จะมีความเกี่ยวพันกันกับภพภูมิเหล่านั้น และเมื่อถึงเวลาก็จะเป็นการทำบารมีร่วมกันระหว่างภพภูมิ และบางครั้งการทำงานจากภายใน ก็จะส่งผลออกมาสู่ภายนอก แต่คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน ที่เห็นก็คือผลที่แสดงออกมาภายนอก และพยายามอธิบายกันด้วยเหตุผลและผลทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นการรู้นอกแต่ไม่รู้ใน คล้ายๆกับวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายเหตุผลภายนอก แต่ไม่เข้าใจถึงกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นเหตุอยู่ภายใน เป็นต้น นี่คือรู้ไม่แจ้งในเรื่องนั้นๆก็เลยเกิดความ “ประมาท” ต่อไปจะมีพระจักรพรรดิเป็นผู้ปกครองโลก พระยาธรรมิกราชจะคล้ายพระสังฆราชและจะมีพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งจะทำหน้าที่คล้ายกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามร่มโพธิ์ศรีก็คือ สามโพธิสัตว์ที่ลงมาทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนานั่นเอง และก็มีเหล่าอัญญาสิทธิ์ บางคนก็อาจยังไม่รู้ตัวเอง ถึงเวลาแล้วก็คงจะได้เห็นว่าของจริงนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งบางท่านจะมีชื่อเสียงในหมู่เทพ เทวดา นาค ครุฑ กุมภกัณฑ์ ฤาษี ดาบส ฯลฯ พวกเขาเหล่านั้นก็รอยุคพระยาธรรมิกราช แต่พวกมนุษย์ไม่รู้จัก เพราะท่านเหล่านี้จะอยู่อย่างเงียบ ๆ และลี้ลับ ครูบาอาจารย์ท่านเคยเปรย ๆ ให้ฟังว่า สำหรับผู้ทำบารมีเข้มข้นแล้วนั้น “ดังบ่ดี ดีบ่ดัง”จากที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าสู่กันฟัง สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่มีใครที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมเป็นตัวกำหนดและยุคพระยาธรรมิกราช ก็เป็นพุทธประเพณี เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในกึ่งกลางพุทธศาสนา ในยุคของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์อย่างในยุคพระเวสสันดร หลังจากพระเวสสันดร ได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดยุคพระยาธรรมิกราชหรือยุคพระจักรพรรดิขึ้น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าลูกชายพระเวสสันดรจะเป็นพระจักรพรรดิในสมัยนั้นในยุคร่วมสมัยปัจจุบันนี้ มีบุคคลผู้หนึ่ง ทำทานบารมีจนได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้วเช่นกัน ก็พอจะอนุมานได้ว่า ยุคพระยาธรรมิกราชนั้นเข้ามาใกล้ถึงปลายจมูกแล้วใครที่คิดจะทำบุญกุศลอะไร ก็ให้รีบเร่งทำ หากเมื่อใดที่ผู้ที่เขาได้พรพระอินทร์เขาทำอธิษฐานบารมีเพื่อดูแลพระศาสนา ระบบที่เขาทำหน้าที่ภายในเขาก็จะทำงานตามลำดับ เมื่อถึงตอนนั้นจะเห็นคุณค่าของศีลธรรม ของศีล 5 ศีล 8 ของบุญบารมีที่แต่ละท่านบำเพ็ญเพียร สั่งสมมาให้ลองนึกถึงคลื่นยักษ์ในภาคใต้ดูว่า คลื่นยักษ์ขนาดไหนที่ทำให้ด้ามขวานไทยเหลือเป็นเกาะแก่ง และคลื่นยักษ์ขนาดไหนที่จะสามารถทำให้เกาะขนาดประเทศไต้หวันหายวับไปได้ในพริบตาเมื่อไหร่ก็ตามที่นาคใหญ่ทำงาน จะสั่นสะเทือนไปทั้งโลก หากจะเทียบเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ผ่านมา เป็นแค่นาคใหญ่โก่งหลังหรือสะดุ้งเพียงเล็กหน่อย ลองจินตนาการดูว่า หากพวกนาคบางพวกมีหน้าที่ทำฤทธิ์เพื่อล้างพวกผู้มีศีลธรรมไม่เพียงพอ สำหรับอยู่ในยุคพระยาธรรมบนโลกนี้ก็จะเหลือคนไม่มากอย่างที่พระสูตรบอกไว้เหตุการณ์ต่างๆที่กล่าวมานั้น จะมีอยู่วันหนึ่งที่เหตุการณ์รุนแรงที่สุด คลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายังโลก เป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุสุริยะอันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่ 11 มนุษย์ทุกคนบนโลก จะได้พบกันเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว บรรยากาศช่วงแรกๆจะรู้สึกหดหู่ เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกล หลังจากนั้นไม่นานนัก ลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงฟ้าเสียงลมจะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เป็นเสียงของพญามัจจุราชที่พิพากษาโลกในด้านความเป็นมนุษย์คนชั่วทุกคนจะถูกประหารชีวิตและจะตายอย่างทรมาน ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำสังคม ผู้นำเศรษฐกิจ ผู้นำลัทธิ ฯลฯ ส่วนคนดีจะได้รับการยกเว้นเอาไว้ให้ได้ทำความดีโดยไม่มีอุปสรรคต่อไปปลายปี 2548 นี้ จะเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งจะส่งผลให้มีคนตายจำนวนมาก ส่วนผู้ที่รักษาศีล 5 ขึ้นไปจะรอด และอีก 5 ปีต่อไปน้ำจะท่วมภาคใต้ และจะร้ายแรงกว่าสึนามิหลายเท่า ผู้คนที่รอดชีวิตจำต้องเดินทางขึ้นเหนือเพื่อให้พ้นภัยโดยระหว่างทางจะพบกับคนนอนตายเกลื่อนกลาดจำนวนมากคนที่ไม่เคยเข้าวัดก็รีบเข้าวัดซะ ตอนนี้ก็ยังทัน รีบหาของดี วัตถุมงคลติดตัวไว้ แต่ถ้าเป็นคนที่มีศีลดีอยู่แล้วก็ยิ่งดีและสุดท้ายให้นั่งสมาธิ เพราะไม่มีสิ่งใดจะช่วยเราได้นอกจากสมาธิ และผู้ที่ปฏิบัติสมาธิได้อภิญญา เรียกว่าให้อยู่ใกล้คนดีเข้าไว้และปี 2549 พระศรีอารย์ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตในตอนนี้ จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ (ท่านลงมาเกิดในคราวนี้ไม่ใช่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า แต่เพื่อช่วยให้ผู้คนรอดพ้นจากเหตุการณ์อันเหลือที่มนุษย์จะรับมือได้ไหวครั้งนี้ เพื่อช่วยให้พ้นจากภัยสงครามครั้งมหึมาที่จะทำให้มีคนตายมหาศาลที่กำลังจะเกิดขึ้น ท่านอาจจะเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ได้แต่ยังไม่แสดงตัวเท่านั้น)หากท่านไม่แน่ใจว่าตัวท่านมีความดีพอที่จะรอดพ้นจากมหาภัยพิบัติครั้งนี้ละก็ ขอให้หาของดีติดตัวเอาไว้เป็นอย่างดี หรือถ้าหาของดีไม่ได้จริงๆ ก็จงทำตัวของท่านให้เป็นคนดีเพื่อความดีจะรักษาตัวของท่านเอง หากท่านไม่เชื่อก็จงอย่างเพิ่งปฏิเสธ เช่น เชื้อโรคที่ตาเปล่าของเรามองไม่เห็น แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันมี เพราะเรามีเครื่องมือคือกล้องจุลทรรศน์ที่จะส่องเห็นแล้ว ส่วนเรื่องอย่างอื่นเช่นที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้า เครื่องมือที่จะเห็นก็มีแล้วคือการปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ แต่อยู่ที่ท่านจะใช้เครื่องมือ หรือรู้วิธีใช้เครื่องมือนั้นอย่างถูกต้องหรือไม่เท่านั้นเองผู้เขียนเคยอ่านหนังสือที่หลวงพอฤาษีลิงดำ ท่านเขียนไว้ว่า อีกไม่กี่ร้อยปี จะมีพระมหากษัตริย์ท่านหนึ่งเดินทางจากเหนือมาบูรณะวัดท่าซุง ขณะนี้ วัดท่าซุงก็ยังคงเป็นปกติดี แสดงว่าหลังจากนี้ไม่นานนักคงต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้วัดท่าซุงร้าง ซึ่งปัจจุบันวัดท่าซุงยังมีคนไปทำบุญถือศีล ปฏิบัติธรรมอย่างไม่ขาดสาย แต่จะมีเหตุใดเล่าที่ทำให้วัดร้างได้นอกจาก..(อาจจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างชาติซึ่งเป็นชนวนให้เกิดอภิมหาสงครามครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศไทยก็เป็นได้)ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ จงหมั่นทำดีเพื่อรักษาชีวิตรอดเทอญประเทศไทย เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองรักษาไว้ ซึ่งจะได้รับความบอบช้ำจากมหันตภัยธรรมชาติน้อยที่สุดในโลกและจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำซึ่งมีความเจริญเป็นศูนย์กลางของโลกต่อไปมนุษย์ที่รอดชีวิตไปได้ จะเข้าสู่ยุคใหม่ จะมีจิตใจที่ดีงามและมีอายุไขที่ยาวจนน่าประหลาดใจ มีอารยธรรมเจริญก้าวหน้า โดยที่ไม่ได้สร้างเทคโนโลยีที่ก่อปัญหาให้กับโลกมากมายเช่นในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อสื่อสารกับเพื่อนมนุษย์ต่างดาวได้ ซึ่งแม้แต่ปัจจุบันบางคนก็ไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงก็ตาม ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของโลก และเป็นประเทศแรกที่มีผุ้สร้างยานอวกาศไปท่องจักรวาลได้เป็นแห่งเดียวของโลก โดนใช้พลังจิตในการขับเคลื่อนโดยไม่ใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้ ให้เกิดพลังงานที่ทำลายสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติของโลกให้เสียหายเหมือนอย่างเช่นปัจจุบันนอกจากนี้ต่อมไพนิล หรือตาที่3ของมนุษย์จะถูกฟื้นฟูขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จนสามารถเข้าถึงสภาวะนิพพานได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตในระยะเวลาไม่นานนัก (ภายใน6ปี)พระศรีอริยะเมตไตร จะเปิดเผยพระองค์ เพื่อปลอบประโลมสร้างขวัญกำลังใจให้กับมวลมนุษยชาติ ที่มีความบอบช้ำทางจิตใจซึ่งในขณะนี้พระองค์ท่านได้เสด็จลงมาบนโลกมนุษย์แล้ว กำลังเป็นสามเณรในพุทธศาสนา และพระองค์ได้มาปรากฏที่ประเทศไทยนี่เองดังเช่นหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านบอกว่า ใครบ้ามาลองภูมิท่าน ท่านก็แกล้งทำตัวเป็นคนบ้าตอบเสียเลย เพราะพวกมาลองของกับหลวงพ่อพวกนี้ พอพูดความจริงไม่ค่อยเชื่อ แต่พอโกหกคิดว่าเป็นเรื่องจริงพระอินทร์ พรหม ยมราช ได้สั่งไว้ว่า ถ้าบุคคลใดรู้แล้วจงรีบร้อนบอกเล่าสู่กันฟัง หรือพิมพ์แจกจ่ายตามกำลังศรัทธา จะเกิดมหากุศลช่วยท่านให้หลุดพ้นจากภัยพิบัติทั้งหลายทั้งปวงถ้าบุคคลใดไม่เชื่อมั่นตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจะเกิดเดือดร้อนในปีจอนี้ ขึ้น 4 ค่ำ ผู้มีบุญจะลงมาเกิด พร้อมหนังสือใบลานฉบับนี้ ถ้าไม่มีอยู่ในบ้านเรือนของผู้ใด จะมีพวกปีศาจร้ายเข้าทำลายอย่างแน่แท้ ในปีจอต่อปีกุนยามเดือนหงาย จะเกิดมีงูพิษอยู่บนหัวกัดฉกให้ตาย และฝูงชนทั้งหลายจะเกิดเดือดร้อนหลายประการเช่น- ทุกข์ยากร้อน เพราะศึกสงคราม- ทุกข์ยากร้อน เพราะน้ำและไฟ- ทุกข์ยากร้อน เพราะไม่มีใครดูแลใคร- ทุกข์ยากร้อน เพราะอดข้าวปลาอาหาร- ทุกข์ยากร้อน เพราะนอนไม่หลับ- ทุกข์ยากร้อน เพราะผัวเมียไม่เห็นหน้ากันในปีจอนี้เมืองเวียงจันทน์ จะมีฤาษีทองคำสึกลาบวชออกมาเป็นพ่อค้า ในปีจอขึ้น 8 ค่ำ ห้ามไม่ให้ใครตักน้ำ อาบน้ำ กินน้ำตามห้วยนองคลองบึง หลังพระอาทิตย์ตกดิน พญายมราชจะนำเอายาพิษพ่นมาใส่โลกมนุษย์นี่คือพระคาถาขององค์อินทร์ พรหม ยมราช ได้เขียนลงในใบลานจงรักษาเก็บไว้ให้ดีเพื่อช่วยให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ ในยามเกิดเหตุการณ์มหันตภัย พระคาถาได้เขียนไว้ดังนี้“ปะโต เมตัง ปะละชิมินัง สุขะโต จุตีเมตตะ นินะนัง สุขะโต จุติ”พระคาถาข้อนี้จะเขียนลงใส่ใบลานแผ่นทอง หรือแผ่นผ้าก็ดีให้ติดไว้บนประตูห้องเรียนหรือรถราพาหนะ หรือพันหัวไว้ในยามเกิดเหตุการณ์จะช่วยให้รอดพ้นภัยอันตราย ในกาละเวลานี้ เทพเจ้าเหล่าเทวดาผู้ที่คุ้มครองรักษาเหล่ามนุษย์โลก ได้ไปกราบทูลต่อพระอินทร์ว่ามนุษย์โลกทำกุศลผลบุญ (ความดี) เพียง 3 ส่วน และทำบาปกรรม (ความชั่วร้าย) ถึง 10 ส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้พระอินทร์จะได้ลงโทษกับมนุษย์โลกถึง 9 ข้อ นับตั้งแต่ปีจอถึงปีกุน คือ- จะให้เกิดพายุลมแรง แผ่นดินไหว- จะให้เกิดสารพิษต่างๆ (อาหารเป็นพิษ - อากาศ)- จะให้เกิดไฟไหม้- จะให้เกิดกาฬโรคต่างๆ- จะให้เกิดน้ำท่วม- จะให้เกิดอดข้าวปลาอาหาร- จะให้เกิดฟ้าผ่า- จะให้เกิดอาฆาตฆ่าฟันกันเอง สำหรับคนใจบาป- จะให้เกิดร้อนมาก หนาวมากมหันตภัยทั้ง 9 อย่างนี้ จะรอดพ้นเฉพาะคนใจบุญ คนที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น รู้แล้วจงบอกต่อกันไปให้รีบเร่งทำแต่ความดีมากกว่าทำบาปกรรมชั่วร้าย ถ้าผ่านปีจอ ปีกุนไปแล้ว ทุกคนพร้อมลูกหลาน จะได้รับความสุขสบายกันถ้วนหน้า เวลาเหลือน้อย ให้ทุกคนเคร่งครัดถือ ศีล 5 ให้ขยันไหว้พระ ภาวนา ให้ทาน เพื่อการกุศลอย่างต่อเนื่องสุดท้ายพระผู้ทรงศีลยังได้กล่าวเน้นย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์ดังหนังสือ “อินทร์ตก”“อินทร์ตื่น”ถ้าท่านผู้ใดเชื่อ ศรัทธา บูชา เคารพกราบไหว้หรือบนบานว่าจะบอกเล่าถึงผู้อื่นหรือลงพิมพ์แจกให้สาธุชน คนทั้งหลายรับรู้ด้วยแล้วท่านจะปรารถนาสิ่งใดจะได้ดังใจนึก พยาธิที่เบียดเบียนก็จะหายขาด

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

การเสด็จ ของวองค์ประธานลูกแก้ว


ลูกแก้วองค์นี้มีขนาดเท่าตุ่มนำขนาดย่อมๆ คุณแม่จันทา ฤกษ์ยามได้พบเห็นในนิมิตรมาได้เป็นเวลานานแล้วโดยลอยอยู่ที่กลางนำโขง ในเมืองบาดาล

ครั้งที่พบทางนิมิตรครั้งแรกนั้นคุณแม่พยายามที่จะใช้พลังจิตดึงขึ้นมาแต่ไม่สามารถเอามาได้ แล้วก็มีเทวดามาบอกทางนิติรว่าลูกแก้วนั้นจะได้อยู่ดอก ที่นี้คุณแม่ก็คิดว่าหากได้ก็คงจะได้ก่อนเข้าพรรษาปี51 นี้ จากนั้นเมื่อถึงวันที่13 กรกฏาคม 2551 ได้มีพระอาจารย์จากโคราชได้โทรมาหาคุณแม่จันทา ว่าลูกแก้วได้เสร้จมาเล่นนำอยู่ที่แม่นำโขงอ.โขงเจียมพอถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2551 คุณแม่จันทา จึงได้ชวนคุณพ่อบุญเหลือ ขับรถไปส่งที่อ.โขงเจียม ขณะนั้นชาวบ้านก็ได้พบเห็นกันเป็นจำนวนมาก และพยายามที่จะทำพิธีต่างๆเชิญลูกแก้วทั้งเอาเรือออกจากฝั่งเพื่อไปเอาลูกแก้วแต่ไม่ได้พอจับโดนลูกแก้วก็จมลงไปในนำ และคนในงานก็ได้ประกาศว่าหากใครเอาได้อย่าเพิ่งเอาไปหนให้เอามาทำพิธีก่อน ได้ยินดังนั้นคุณแม่กับพ่อบุณเหลือจึงพากันเดินห่างออกไปจากฝูงชนที่มาดูลูกแก้วลอยนำประมาณ 500 เมตร และคุณแม่ได้ลงไปในนำประมาณหัวเข่าและอธิษฐานจิตและเอามือแตะๆนำสามครั้ง ปรากฏว่ามีวัตถุชนิดหนึ่งมาสัมผัสที่เท้าจึงเรียกพ่อบุญเหลือมาช่วยดู ปรากฏว่าเป็นลูกแก้วขนาดใหญ่ดังที่เห็นในนิมิต จึงได้ให้พ่อบุญเหลือไปหากล่องกระดาษมาใส่ และอุ้มไปใส่รถปรากฏว่าเบามาก แต่พอมาถึงที่วัด ปรากฏว่าต้องใช้คน 5คนอุ้งลงมา ขณะนี้ลูกแก้วประดิษฐานที่สำนักปฏิบัติธรรมภูริทัตตะ ต.ดูกอึง อ.หนองฮี จ.ร้อยเอ็ด

หากใครจะไปกราบคุณแม่ และขอพรจากองค์ประธานลูกแก้ว ก็เชิญได้เลยนะครับ

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มหาสติปัฏฐานสูตร

ในตอนต้น จะกล่าวถึงความมุ่งหมายที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคกล่าวไว้ ตามพระบาลี เอวมฺ เม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา กุรูสุ วิหรติ สำหรับพระบาลีว่าเพียงเท่านี้ ถือใจความตามภาษาไทยว่า “ข้าพเจ้าผู้มีนามว่าพระอานนท์ ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ว่า สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ในหมู่ชนชาวกุรุนิคมชื่อว่า กัมมาสธัมมะ ในกาลนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นทูลรับว่า พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าทรงกล่าวเป็นพุทธภาษิตว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางถูก เป็นทางของบุคคลผู้เดียว เป็นที่ไปในที่แห่งเดียว เพื่อความหมดจดวิเศษ เพื่อความดับไฟแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญาณธรรมหรือว่าธรรมที่ควรรู้ ธรรมที่ถูกคือ อริยมรรค เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ทางนี้ก็คือ สติปัฏฐาน คำว่าสติปัฏฐาน แปลว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ สติปัฏฐาน 4 มีอะไรบ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เนือง ๆ มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงนำอภิชฌาและโทมนัส คำว่า อภิชฌา แปลว่า ความยินดีหรือยินร้าย โทมนัส แปลว่า ความเสียใจในโลกเสียให้พินาศไป เธอย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนือง ๆ นี่เป็นที่ 2 มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงนำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศไป อันดับ 3 เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนือง ๆ อยู่ มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงนำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศไป อันดับ 4 เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนือง ๆ อยู่ มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงนำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศไป
พระพุทธเจ้าทรงตรัสให้บรรดาผู้ฟังทั้งหลายมีความมั่นใจว่า ท่านผู้ใดถ้าปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรครบถ้วน ท่านผู้นั้นจะเข้าถึงความดับทุกข์ ไม่มีความโศก ไม่มีความร่ำไร เสียใจและโทมนัส และในที่สุดท่านผู้นั้นจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน การที่จะเข้าถึงพระนิพพานในตอนท้ายของแต่ละสูตรบอกว่า เราต้องมีสติสัมปชัญญะ คำว่า สติ แปลว่า นึกไว้ สัมปชัญญะ แปลว่า รู้ตัว ก็ในมหาสติปัฏฐานเริ่มต้นกายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ย่อมพิจารณาเห็นกายในการเนือง ๆ อันที่ 2 เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนือง ๆ ข้อที่ 3 จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนือง ๆ ข้อที่ 4 ธัมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนือง ๆ และก็ละความยินดียินร้ายในโลกทั้งหมด เราจะเข้าที่สุดของความดับทุกข์ การปฏิบัติเพื่อให้ถึงซึ่งมรรคผลในมหาสติปัฏฐานสูตร เราจะปฏิบัติแยกตัดตอนไปเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ชอบใจอย่างนี้ เราจะเอาอย่างโน้น ไม่ชอบใจอย่างโน้น เราเอาอย่างนี้ อย่างนี้ไม่ได้ถึงพระนิพพาน ต้องปฏิบัติให้มีผลเท่ากันหมด คือตั้งแต่บทต้นถึงบทสุดท้าย
ข้อสำคัญ การที่เจริญให้เข้าถึงมรรคถึงผล ที่เรียกว่า โมกขธรรม คือธรรมเป็นเครื่องพ้นจากกิเลส หรือว่าธรรมเป็นเครื่องพ้นจากกิเลส หรือว่าธรรมเป็นเครื่องพ้นจากวัฏสงสาร หรือว่าธรรมเป็นเครื่องพ้นจากความทุกข์ จะต้องเว้นส่วนสุด 2 อย่าง คือ
1. อัตตกิลมถานุโยค เว้นจากการทรมานตัว นั่งเครียด ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็พักผ่อน อย่าไปทรมานมัน มันจะเกิดเป็นโรคประสาท ทำแค่พอดี มันไม่ไหวก็นอนภาวนาให้มันหลับไป
2. กามสุขัลลิกานุโยค เวลาที่จะเริ่มภาวนาและพิจารณา ขณะเดียวกันนั้นก็นึกอยากจะได้ชั้นโน้น นึกอยากจะได้ชั้นนี้ นึกอยากจะได้อย่างนั้น ตัวอยากนี่ท่านแปลว่า กาม คือความใคร่ มันทำให้อารมณ์ใจกระสับกระส่าย ไม่มีผลในด้านของความดี
ขอให้ท่านทั้งหลายจงเว้นอาการอย่างนี้เสีย อย่าทำอย่าสร้างมันขึ้นมา มันจะเป็นโทษ มันจะไม่เกิดประโยชน์อะไรกับบรรดาท่านทั้งหลาย ส่วนที่ทำให้ได้ดี องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า ต้องใช้ “มัชฌิมาปฏิปทา” คือ ทำแค่พอเหมาะพอดี ถ้านั่งท่านี้เมื่อย เราก็พลิกได้ เปลี่ยนอิริยาบถ นั่งนานเกินไป ถ้ามันทนไม่ไหว นั่งขัดสมาธิหรือนั่งพับเพียบ ก็ลุกขึ้นมานั่งเก้าอี้ห้อยขาก็ได้ เอนกาย นึกไว้เสมอว่า เราไม่ได้ฝึกกาย นี่เราฝึกใจ นั่งไม่สบายก็ยืน ยืนไม่สบายก็เดิน เราภาวนาหรือพิจารณาอะไร ก็ทำอย่างนั้นแหละ แต่ว่าเดินหรือว่ายืน เมื่อนั่ง ยืน เดิน ไม่สบายก็นอน นอนไม่ไหวก็ปล่อยให้มันหลับไป อย่าทรมานมัน คราวนี้เวลาตื่น ตั้งใจอยู่เสมอว่า ก่อนจะหลับ ถ้าตื่นขึ้นมาเมื่อไร เราจะยึดอารมณ์นี้ไว้ทันที เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็จับอารมณ์นั้น ทั้ง ๆ ที่นอนอยู่อย่างนั้นแหละ ก็ทำตามตอนนั้นไปเลย หรือว่าไม่พอใจในการนอน จะนั่งก็ได้ จะยืนก็ได้ จะเดินก็ได้ จงอย่าลืมว่า พระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ดี ถ้าได้จากการเดิน พระกรรมฐานกองนั้นจะไม่เสื่อม เพราะเราได้มาจากอิริยาบถที่มีการเคลื่อนไหว และก่อนที่ท่านทั้งหลายจะศึกษาหรือปฏิบัติในข้อใด ในกรรมฐานบทใดก็ตาม ขอเตือนไว้ว่า จรณะ 15 ที่เป็นความประพฤติ อันได้แก่
1. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล
2. อินทรียสังวร สำรวมอินทรีย์
3. โภชเนมัตตัญญุตา รู้ความพอดีในการบริโภคอาหาร
4. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรของบุคคลผู้ตื่นอยู่
นี่เป็นหมวดที่หนึ่ง 4 ข้อ สำหรับหมวดที่สอง ท่านเรียกว่าสัจธรรม มี 7 ข้อ คือ
5. ศรัทธา ความเชื่อ
6. หิริ ความละอายแก่ใจ
7. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความผิด
8. พหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก คือศึกษามามาก จำได้มาก
9. วิริยะ มีความเพียร
10. สติ ระลึกได้
11. ปัญญา ความรอบรู้
สำหรับหมวดที่สาม ท่านกล่าวว่ามี 4 ข้อด้วยกัน เนื่องด้วยฌาน เนื่องด้วยพวกรูปฌาน คือ
1. ปฐมฌาน ฌานที่ 1
2. ทุติยฌาน ฌานที่ 2
3. ตติยฌาน ฌานที่ 3
4. จตุตถฌาน ฌานที่ 4
สำหรับจรณะนี้ ท่านที่ปฏิบัติเพื่อความดี หรือว่าภิกษุสามเณรที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ตลอดจนกระทั่งบรรดาอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ทุกท่านมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทรงจรณะ 15 ไว้เป็นเบื้องต้น จรณะ แปลว่า ความประพฤติ ความประพฤติ 15 อย่าง ถือเป็นเบื้องต้นเท่านั้น ยังไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงมรรคผล เป็นแต่เพียงว่า ถ้าหากท่านทั้งหลายปฏิบัติได้ ท่านก็เรียกว่า กัลยาณชน คือเป็นคนดี ตามคติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน ยังไม่เรียกว่าอริยชน ทั้งนี้เพราะถือว่าเป็นภาคพื้นเบื้องต้น ถ้าหากว่าท่านผู้ใดบกพร่องในจรณะ คือความประพฤติ 15 อย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็แสดงว่าท่านทั้งหลายไม่ได้มีใจเข้าถึง คือไม่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง แล้วก็ไม่ได้หวังในความประพฤติดีประพฤติชอบจริง คำว่าปฏิบัติในที่นี้หมายถึง ความระมัดระวังไม่ให้ใจของเราเข้าไปเกลือกกลั้วกับสิ่งที่เป็นอกุศล ที่จะเป็นผลเป็นปัจจัยเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ได้แก่อบายภูมิ เป็นต้น คือเป็นกิจเบื้องต้นที่พวกเราจะพึงต้องปฏิบัติ ประพฤติให้ครบถ้วน
แล้วก็ใคร่ครวญในบารมี 10 ให้เป็นปกติ คำว่าบารมี 10 นั้น ท่านใช้เป็น 30 ประการ ก็เพราะว่าจัดเป็น 3 ขั้นด้วยกัน คือ บารมีต้น เรียกว่าบารมีเฉย ๆ บารมีขั้นรองลงมาเรียกว่า อุปบารมี บารมีขั้นสุดท้ายเรียกว่า ปรมัตถบารมี สำหรับบารมีทั้ง 10 นี้ก็มี
1. ทานบารมี
2. ศีลบารมี
3. เนกขัมมบารมี
4. ปัญญาบารมี
5. วิริยบารมี
6. ขันติบารมี
7. สัจจบารมี
8. อธิษฐานบารมี
9. เมตตาบารมี
10. อุเบกขาบารมี
บารมีทั้ง 10 ประการ ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือว่าเป็นความสำคัญมาก เราจะเคยได้ยินได้ฟังอยู่เสมอว่า บุคคลใดบารมีเต็มแล้ว บุคคลนั้นองค์พระประทีปแก้วตรัสว่า สามารถจะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน คือเป็นพระอรหันต์ได้ แล้วก็ไปนิพพานได้ ฉะนั้น บารมี 10 ประการนี้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่บรรดาภิกษุสามเณรหรือว่าญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง จะต้องปฏิบัติให้ได้ ถ้าเราทำไม่ได้ เราก็ไม่พ้นทุกข์ ถ้าทำได้ก็พ้นทุกข์
และถ้ากำลังใจมันท้อถอย ก็ใช้อิทธิบาท 4 เข้าปกคลุม อันได้แก่
1. ฉันทะ ความพอใจในกิจที่เราจะพึงทำ
2. วิริยะ ความเพียรในการต่อต้านอุปสรรค
3. จิตตะ เอาจิตใจจดจ่ออยู่เสมอในกิจที่เราจะพึงทำ ไม่ละเลย ไม่ทำจิตให้เหินห่าง ไม่พลั้งไม่เผลอ จดจ่อจ้องอยู่เสมอว่า เราจะทำสิ่งนี้ให้ได้ แล้วก็
4. วิมังสา ก่อนจะทำอะไรทั้งหมด ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญเสียก่อนให้ทราบว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะมีผลดีผลชั่วประการใด แล้วก็เลือกเอาในสายเฉพาะที่มีผลดีเท่านั้น ไม่เลือกในสายที่มีผลชั่ว
ถ้าอิทธิบาท 4 มีครบถ้วนละก็ จรณะ 15 ประการ ของบรรดาท่านทั้งหลายก็จะครบถ้วนด้วย แล้วก็สามารถจะควบคุมบารมี 10 ประการให้ทรงตัว
ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายก่อนจะหลับหรือว่าตื่นใหม่ ๆ จงทบทวนจรณะ 15 และบารมี 10 ประการว่า สิ่งใดในทั้ง 25 ประการนี่เราบกพร่องบ้าง แล้วก็ตรวจดูอิทธิบาท 4 ว่า เราบกพร่องบ้างหรือเปล่า ถ้าบกพร่องก็แสดงว่า เราเป็นผู้ขาดทุนในวันนั้น แล้วก็พยายามตั้งใจรวบรวมกำลังใจคิดว่าจะรักษาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดให้อยู่ครบถ้วนตามกำลังใจของเราให้ได้
ทีนี้ต่อไปเราก็หาทางดับกิเลส ดับมากไม่ได้เราก็ดับทีละน้อย ค่อย ๆ ดับ ถ้าเราค่อย ๆ ดับแล้วก็ดับบ่อย ๆ กิเลสมันก็ดับหมดเหมือนกัน ส่วนใดที่มันดับไปแล้วก็ให้มันดับไปเลย อย่าให้มันเกิดขึ้นมาใหม่
สำหรับมหาสติปัฏฐานสูตร การที่จะเข้าถึงพระนิพพานในตอนท้ายของแต่ละสูตรบอกว่า เราต้องมีสติสัมปชัญญะ คำว่าสติสัมปชัญญะในที่นี้ พระพุทธเจ้าให้มีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก สติตั้งไว้ในกาย พิจารณาเห็นกายในกายเป็นปกติ พิจารณาเวทนาในเวทนาเป็นปกติ พิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นปกติ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นปกติ แล้วก็ละอภิชฌาและโทมนัส หมายถึงความดีใจ เสียใจ ความพอใจในโลกให้ตัดทิ้งไป ถ้าเราพยายามตัดได้หมดเมื่อใด เราก็เป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น ถ้าเราตัดไม่ได้มาก ตัดได้น้อย ก็ชื่อว่าพอมีคุณอยู่

กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ว่าด้วยเรื่อง
1.1 อานาปานบรรพ
1.2 อิริยาบถบรรพ
1.3 สัมปชัญญบรรพ
1.4 ปฏิกูลบรรพ
1.5 ธาตุบรรพ
1.6 นวสีวถิกาบรรพ

1.1 อานาปานบรรพ ต่อไปนี้จะขอเอากรรมฐานมหาสติปัฏฐานสูตร ในกายานุปัสสนาบทต้นที่เรียกว่า “อานาปานบรรพ” มากล่าว ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เข้าไปสู่ป่าก็ดี เข้าไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ คือ ขัดสมาธิตั้งกายให้ตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า ย่อมมีสติหายใจเข้า ย่อมมีสติหายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดอยู่ว่าเราหายใจเข้าสั้น เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้อยู่ว่าหายใจออกสั้น ย่อมสำเหนียก(ตั้งใจกำหนดไว้) ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง เวลาหายใจเข้าตั้งใจกำหนดไว้ว่า เราจักเป็นผู้รู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง เวลาหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร (คือ ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ) เมื่อหายใจเข้า เราจักระงับกายสังขาร เมื่อหายใจออก”
อันนี้เรียกกายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ในอานาปานบรรพ หรืออานาปานุสสติกรรมฐาน ในกรรมฐาน 40 สำหรับอานาปานุสสติหรืออานาปานบรรพ เป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญที่สุด เป็นกรรมฐานที่เป็นพื้นฐานใหญ่ ถ้านักเจริญกรรมฐานทั้งหลายไม่สามารถทรงฌานในด้านอานาปานุสสติกรรมฐานได้ ท่านผู้นั้นก็ไม่สามารถจะเข้าฌานในกองอื่น ๆ ได้เหมือนกัน เพราะการเข้าฌานในกรรมฐานกองใดกองหนึ่งนอกไปจากนี้ ต้องพึ่งอานาปาเสมอ เมื่ออานาปานุสสติถึงฌาน 4 เสียกองเดียว กรรมฐานกองอื่นก็เป็นเรื่องเล็ก เพราะเป็นกรรมฐานที่เข้าถึงฌานได้ง่ายที่สุด
ฉะนั้น การพิจารณาลมจึงมีความสำคัญ ที่ว่าสำคัญก็เพราะว่าลมเป็นของละเอียด การรู้ลมเข้า การรู้ลมออก เป็นการทรงสติสัมปชัญญะเป็นอย่างดี ถ้าเราเผลอนิดเดียวเราก็ไม่สามารถจะรู้อาการของการหายใจเข้าหายใจออก การจะเจริญพระกรรมฐานในด้านอานาปานุสสติกรรมฐานให้ได้ เราจะทำอย่างไร ก็มีวิธีทำ ก็ต้องขอบอกวิสุทธิมรรครวมกันเข้ามาในที่นี้ ท่านบอกว่า เราต้องมีสติและสัมปชัญญะ กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก นึกว่านี่เราหายใจเข้า เราหายใจออก เมื่อตัวสัมปชัญญะรู้ว่า นี่เราหายใจเข้าแล้ว หายใจออกแล้ว ก็จะรู้ว่านี่เราหายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้น ความจริงเป็นของไม่ยาก การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ทุกท่านต้องใช้อยู่ตลอดเวลา คำว่าใช้ตลอดเวลาก็หมายความว่า ถ้าเราจะทำกรรมฐานกองใดกองอื่นไปกว่านี้ ก็ต้องพิจารณาลมหายใจเข้าออก ให้จิตทรงสมาธิดีเสียก่อน หรือไม่ต้องรีบทำอย่างอื่นก่อน เพราะถ้าเรารีบทำอย่างอื่นก่อน ถ้าจิตไม่สามารถจะทรงสมาธิไว้ได้ กรรมฐานกองอื่นที่เราตั้งใจก็ไม่มีผล ถึงแม้ว่าเราตั้งใจจะเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานก็ตาม ถ้าหากว่า เราไม่ทรงสมาธิจิต คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เป็นการทรงสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ การเจริญวิปัสสนาญาณก็ไม่มีผล จิตไม่ทรงอยู่ในขอบเขต
ความจริงพวกเราก็หายใจอยู่ตลอดวันตลอดคืน เราก็มานั่งนึกดูว่า การหายใจของเรานี้มีทุกขณะจิต ถ้าขณะใดเราขาดลมหายใจ นั่นหมายถึงว่าเราตาย ถ้าจะถามว่า ใครทราบบ้างเวลาที่เราหายใจวันหนึ่ง ๆ ทั้ง ๆ ที่เราหายใจตลอดวัน แต่ใครรู้บ้างว่าเราหายใจ อันนี้เป็นของยากว่าอาการหายใจทางกายโดยอัตโนมัติเป็นเรื่องของร่างกายจัดขึ้น แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราหายใจ ทั้ง ๆ ที่เราต้องการลมหายใจ การที่เราไม่รู้ว่าเราหายใจก็แสดงว่าสติสัมปชัญญะของเราย่อหย่อนมาก คนใดถ้ามีสติสัมปชัญญะ 2 ประการ หรือว่ามีสติสมบูรณ์แบบ คนนั้นเขาเรียกว่า “พระอรหันต์” พระพุทธเจ้าที่สอนให้เรากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เพื่อให้สติจับอยู่ว่า เวลานี้เราหายใจเข้า เวลานี้เราหายใจออก เราหายใจเข้ายาวหรือสั้น เราหายใจออกยาวหรือสั้น ก็เพื่อให้เราฝึกการทรงสติให้สมบูรณ์นั่นเอง เพื่อความเป็นพระอรหันต์
ทีนี้ความสำคัญในเวลาฝึกมันมีอยู่ เมื่อเวลาทำจริง ในด้านอานาปานุสสติกรรมฐานนี่เป็นของหนัก แต่ทว่าถ้าเราไม่ทิ้งวิริยะอุตสาหะก็เห็นว่าไม่หนักเหมือนกัน วิธีที่เราจะทำมันจะบังคับจิตให้มันทรงอารมณ์เป็นสมาธิ รู้ลมเข้าลมออกตลอดเวลาน่ะมันไม่ได้ เราก็ต้องใช้วิธีผ่อนสั้นผ่อนยาวเหมือนกับเราฝึกม้าพยศ ตามธรรมดาม้าที่มีกำลังกล้า มีความดื้อ ถ้ามันไม่พยศเราก็บังคับมันได้ ใช้มันได้สะดวก เวลาที่มันพยศขึ้นมาจริงมันไม่เอาไหน บังคับมันไม่ได้ กำลังมันก็ดี เราก็สู้มันไม่ได้ นี่เรื่องอารมณ์ฟุ้งซ่านของจิตที่จะบังคับด้วยอานาปานุสสติก็เช่นเดียวกัน ท่านกล่าวว่า ในขณะใดเมื่อพบอาการพยศของอานาปานุสสติเข้า คือสติไม่สามารถจะคุมอยู่ ท่านแนะนำไว้ 2 วิธีว่า ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ให้พักเสียก่อน นอนให้สบาย หรือเที่ยวให้สบาย จิตใจมันจะคิดอย่างไรปล่อยมันไปตามอารมณ์อย่าฝืน ถ้าไม่ไหวอย่าฝืน ถ้าฝืนเป็นบ้าแน่ จงจำไว้ว่า อย่าขยันเกินไปและอย่าขี้เกียจเกินไป ได้แนะนำกันมาแล้ว่า ส่วนสุดสองอย่างที่เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค คือการทรมานตน ถ้าหากว่าเวลาที่เราปฏิบัติสมาธิ แล้วก็นึกอยากจะเห็นภาพบ้าง อยากเห็นแสงสีความสว่างบ้าง อยากจะได้ฌานสมาบัติบ้าง อยากอะไรก็ตาม หรือที่เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค เป็นส่วนที่อันดับต่ำ เมื่อจิตเข้าไม่ถึงแล้วจะไม่ได้ทรงแม้แต่อารมณ์ของฌาน
ฉะนั้น การปฏิบัติพระกรรมฐานทุกกอง ทุกท่านจงจำไว้ว่า อย่าได้เข้าไปแตะต้องส่วนสุดสองอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้วว่าไม่ใช่ทางบรรลุผล หมายถึง อริยมรรค อริยผล แม้แต่ฌานโลกีย์ก็ไม่มีโอกาส ดังนั้นถ้ามันหนัก มันไม่ไหวก็เลิกพัก เรายังมีวันมีเวลา เมื่ออารมณ์สบายก็มาเริ่มใหม่ เวลาเริ่มก็อย่าใช้เวลาให้มากนัก ใช้เวลาน้อย ๆ กะเอาชนะเป็นสำคัญ คำว่าชนะ ก็หมายความว่า ใช้เวลาให้น้อยในชั่วระยะเวลาน้อย ๆ เราจะพยายามรู้ลมเข้า รู้ลมออก รู้ลมสั้น รู้ลมยาว ใช้เวลาให้สั้น ในเวลานั้นจะไม่ยอมให้จิตฟุ้งซ่านเด็ดขาด จะให้ทรงอยู่ตามอารมณ์ที่เราต้องการ ถ้าหากว่ามันเป็นไปโดยสะดวกไม่ได้ ก็บังคับมัน นี่อย่างหนึ่ง
อีกอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ถ้าบังคับไม่ได้จริง ๆ เหมือนกับม้าพยศ ก็กอดคอมัน ถือแส้ไว้ ปล่อยมันวิ่งไป จับบังเหียนมันเข้าไว้ มันจะวิ่งไปไหนก็เชิญวิ่งไป ปล่อยไปตามอัธยาศัย เมื่อมันหมดแรงจะวิ่ง เราก็บังคับให้เข้าจุดตามทางที่เราต้องการได้ ข้อนี้มีอุปมาฉันใดแม้จิตซ่านก็เหมือนกัน ถ้าซ่านจริง เอาไว้ไม่ไหวก็ปล่อยมัน อยากจะคิดอะไรก็เชิญคิดตามใจชอบ แต่มีสติสัมปชัญญะไว้ คุมสติสัมปชัญญะเข้าไว้ แล้วพอเลิกคิดก็ควบคุมลมหายใจเข้าออก มันไม่เสียเวลาเท่าไหร่ เคยทดลองมาแล้วมีผลดีมาก มันจะคิดจริง ๆ ก็ไม่เกิน 20 นาที ไม่เคยถึง พอมันเลิกคิด ตอนนี้เราเริ่มจับลมหายใจเข้าออก มันจะทรงเป็นฌานดิ่ง มีอารมณ์สงบสงัด อารมณ์จิตจะทรงฌานเต็ม มันไม่ยาก และอาการที่เราทรงอารมณ์ดีของจิต ในด้านสมถภาวนาก็จงอย่าถือว่ามันดีเสมอไป บางวันก็ดีบ้าง บางวันก็เลวบ้าง นี่เป็นของธรรมดา การเจริญอานาปานุสสติกรรมฐานและมหาสติปัฏฐานใช้ได้รวมกันอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าวันนี้ทำแบบนี้ แล้วก็พรุ่งนี้ทำแบบนั้น เราศึกษาเข้าใจแบบไหน ก็ปฏิบัติแบบนั้นให้ครบถ้วน แล้วเวลาที่เราเข้าฌานจะตัดอารมณ์ในเรื่องโลภะ โทสะ โมหะ ก็หากรรมฐานที่ทรงอารมณ์ คือว่าทำตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย จงจำไว้ว่าจุดจบมันอยู่ที่ฌาน 4 คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไป เราก็พยายามฝึกอาการทรงฌาน วิธีฝึกอาการทรงฌาน ก็โดยวิธีใช้การตั้งเวลาโดยเฉพาะ มีประโยชน์มาก พอเราได้สมาธิดีแล้ว จิตมันสามารถจะทรงได้ตามที่เรากำหนดเวลาสั้น ๆ เราทรงได้ตามโอกาสนั้นที่เราต้องการ ก็ขยับให้มันยาวไปอีกนิด เมื่อชินเมื่อเข้าได้แล้วก็ตั้งอยู่ได้ตามลำดับนั้น ได้ครึ่งเดือนหรือเดือนหนึ่งก็ขยับให้ยาวไปอีกนิดหน่อย อาการที่เราจะรู้ว่าเป็นอาการของฌาน 4 เมื่อจับลมหายใจเข้าหายใจออกไป ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าลมเข้าหรือออก ไม่มีความรู้สึก เหมือนไม่หายใจ กำลังใจทรงสติสัมปชัญญะสมบูรณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียวโดยเฉพาะ ไม่คิดถึงอะไรหมด แล้วก็แทรกมาด้วยอุเบกขารมณ์ คือความวางเฉย ตัวนี้ท่านบอกว่าจิตกับกายแยกกันเด็ดขาด ไม่ยอมรู้เรื่องของประสาท ทรงตื่นเหมือนคนตื่นอยู่อย่างธรรมดา ถ้ายังรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ ถือว่าเรายังไม่จบ และถ้าหากว่าขณะใดขณะหนึ่งเราเข้าถึงจุดจบ คือไม่รู้ลมเข้าลมออกแล้ว ต้องพยายามรักษาอารมณ์นั้นไว้ ถ้าวันหลังบังเอิญทำไม่ถึงนั่นก็อย่ากลุ้มใจ ถือว่าปล่อยมัน มันจะได้แค่ไหนก็ช่างมัน รักษาอารมณ์สบายใจไว้เป็นสำคัญ เอาแค่สบายใจนะ รู้ลมเข้า รู้ลมออก แต่สบายใจป็นสำคัญ อย่าอยากเห็นภาพและแสงสี นี่เขาห้ามเด็ดขาด ถ้าต้องการเห็นภาพเห็นแสงสีแล้ว เห็นแล้วเข้าไปหลง มันเสียสมาธิ สมาธิจะตก อย่าไปสนใจ ไม่ใช่ของดี มันเป็นของเลว เป็นเครื่องบั่นทอนความดี นี่เป็นอันว่า ในเรื่องของอานาปานบรรพในด้านสมถภาวนาก็ไม่มีอะไรมาก ก็อธิบายมาพอจะเข้าใจ ขอให้ตั้งใจฝึกกันให้ได้ก็แล้วกัน
ทีนี้มาในตอนท้าย ท่านควบวิปัสสนาญาณไว้ด้วย การเจริญพิจารณาลมหายใจเข้าออก หรือว่ามหาสติปัฏฐานอื่น ๆ ก็ตาม ในมหาสติปัฏฐานสูตรทั้งมด หรือว่าในกรรมฐาน 40 ก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงให้ใช้สมถะกองนั้นเป็นวิปัสสนาญาณ ท่านว่าดังนี้
“ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในและภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมมีสติว่า กายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าเธอนั้น แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก แต่เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลกด้วย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่อย่างนี้”
ตรงนี้เป็นวิปัสสนาญาณ ตอนพิจารณาเห็นลมหายใจเข้า หายใจออก ตอนทรงฌานเป็นสมถภาวนา ส่วนที่ท่านกล่าวเมื่อตอนต้นหมายความว่า ให้พิจารณากายเราเองบ้าง พิจารณากายบุคคลอื่นบ้าง และก็พิจารณากายเราและกายบุคคลอื่นด้วยมาเปรียบเทียบกัน น้อมเข้ามาว่า มันมีสภาพเหมือนกับว่า ตามธรรมดาร่างกายของคนและสัตว์มันก็มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น นี่เป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย และย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือ ความเสื่อมไปในกาย ให้ใช้ปัญญาหาความจริงว่า ร่างกายนี่มันมีสภาพไม่ทรงตัว มันมีความเกิดขึ้น แล้วก็มีความเสื่อมไป ถ้าดูร่างกายของเราไม่ถนัด ก็ดูร่างกายชาวบ้านที่เขาเกิดก่อนเรา หรือว่าเกิดพร้อมเรา หรือว่าเกิดทีหลังเราว่า ร่างกายมันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง หลังจากความเป็นเด็กเล็กก็มาเป็นเด็กใหญ่ จากเด็กใหญ่ก็มาเป็นหนุ่มสาว จากหนุ่มสาวแล้วก็มาเป็นคนแก่ นี่มันเป็นธรรมดา ร่างกายมันเสื่อมไปเป็นปกติ อย่างนี้เป็นของธรรมดา
ที่ให้ถือว่าเป็นธรรมดา ก็หมายความว่า ไม่ยึดมั่นมันว่าเราจะต้องเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา เราจะต้องเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ตลอดเวลา มันจะต้องเดินเข้าไปหาความเสื่อม หาความสลายตัวเป็นปกติ ความเสื่อมของร่างกายมันมีทุกวัน ตอนเช้าตื่นขึ้นมายังไม่กินข้าว หิวก็กินข้าวแล้วมันอิ่ม อิ่มแล้วพอตอนสายหรือตอนกลางวันมันเริ่มหิว นี่รู้ไว้เลยว่า ความเสื่อมของร่างกายเกิดขึ้นแล้ว ทำไมจึงว่าเสื่อม ก็เพราะอาหารที่กินไปตอนเช้ามันเสื่อมคุณภาพ ถ้ามันไม่เสื่อมก็ไม่หิว เลยเวลาไปจากนั้นก็เสื่อมอีก เรากินกลางวันไป จากนั้นพอตกเย็นมันหิว ความเสื่อมมันปรากฎ กล่าวได้ว่า การที่มีร่างกายนี่ จะเป็นกายเราก็ดี กายเขาก็ดี หรือกายที่บุคคลเนื่องถึงกัน เช่น สามี ภรรยา พ่อ แม่ เพื่อน ทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด มีสภาพเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีความเสื่อมเป็นปกติ เมื่อเป็นดังนี้ ท่านจึงแนะนำว่า เธอจงอย่าเอาจิตเข้าไปติดในกายนั้น ให้พิจารณาเห็นว่า ร่างกายทั้งหลายเหล่านี้มันมีอยู่ เกิดขึ้นเฉพาะหน้าเรา ที่เรามองเห็นอยู่ก็สักแต่ว่าเห็นเท่านั้น คือว่า อย่าเอาจิตเข้าไปผูกพันมัน อย่าไปยึดถือว่ามันจะเป็นเราจริง เป็นของเราจริง เราจะต้องอยู่กับมัน มันจะต้องอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัย จำไว้ให้ดีว่า เราจะต้องไม่ยึดถือว่า ร่างกายนี้มันเป็นเรา เป็นของเราอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย เรามีความรู้สึกว่า เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันก็เสื่อมไปในที่สุด เราจะไม่เอาจิตไปคิดว่า เราจะอยู่กับมัน เราจะมีความรู้สึกว่า ไอ้ร่างกายประเภทนี้มันก็สักแต่มีขึ้นมาเท่านั้น แล้วไม่ช้ามันก็ต้องสลายไป
ในเมื่อเรายอมรับนับถือว่ามันเป็นธรรมดาแล้ว ความสะดุ้งหวาดหวั่นมันก็ไม่มี นี่ท่านบอกว่าต้องยึดถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเราเคารพกับความเป็นธรรมดาแล้วจริง ๆ เราจะเห็นพ่อตาย แม่ตาย พี่ตาย น้องตาย อาการร้องไห้ไม่มี นี่เราต้องประสบ ใครเขานินทาว่าร้ายเราก็ไม่หวั่นไหว ถือว่าคนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก เราเกิดมาเพื่อถูกชาวบ้านนินทา จะไปหนักใจอะไรกับการนินทา ต่อมาเมื่อความตายมันเข้ามาถึง นอกจากเราจะเห็นความเสื่อมของร่างกายแล้ว เราก็ดูความตายของชาวบ้านด้วย ชาวบ้านเขาเกิดมาแล้วเขาตายให้เราดูทุกวัน สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ให้พิจารณากายภายนอก คือ คนที่เขาเกิดมาเหมือนเรา แล้วก็เวลานี้มันพังลงไปแล้ว นี่เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป มีสภาพไม่เที่ยง มันมีการสลายตัวเป็นปกติ การที่จะตั้งอยู่ได้ก็อาศัยสันตติ คือการสืบเนื่องหรือติดต่อกัน ที่เราจะเห็นว่า ลมหายใจ ถ้าเราหายใจออกไปแล้ว ไม่หายใจเข้ามันก็ตาย หายใจเข้าไปแล้วไม่หายใจออกไป ไม่นำลมเข้ามาใหม่ มันก็ตาย นี่เป็นอาการของความเสื่อมทางกาย เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป เราและเขาก็มีสภาพเหมือนกัน คือความไม่เที่ยง ความเสื่อม ความไม่ทรงตัว ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เราจึงต้องยอมรับว่า ทุกอย่างเป็นธรรมดา ท่านจึงสอนให้เพียงว่า ให้เธอทั้งหลายจงมีความเข้าใจว่า กายนี้มันเป็นที่อาศัย ที่ระลึกถึงชั่วขณะ จงอย่าติดกายนั้น และจงอย่าติดทุกอย่างในโลกนี้ทั้งหมด
ตอนท้ายของอานาปานุสสติกรรมฐาน หรือว่าในตอนท้ายของมหาสติปัฏฐานทั้งหมด พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ที่ตรัสอย่างนี้ก็เพราะร่างกายของเรามีลมหายใจ ลมหายใจไม่สามารถทรงกายของเราให้อยู่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย เมื่อถึงวาระเมื่อไร ร่างกายคือลมหายใจก็หยุดทำงาน เมื่อร่างกายของเราหยุดทำงานแล้ว ธาตุลมสิ้นไป กายประกอบไปด้วยธาตุ 4 ไม่มีความสามัคคีกัน ธาตุลมหมดไป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ไม่สามารถจะทรงอยู่ได้ ก็ต้องสลายตัวไป เป็นอันว่าตาย ทีนี้เมื่อเราจะต้องตาย เราจะเห็นอะไรบ้างในโลกที่ควรยึดถือ เห็นว่าอะไรที่จะเป็นเครื่องทรงตัวอยู่ได้ตลอดกาล มีอะไรบ้างที่จะเป็นที่พึ่งสำหรับเรา ในเมื่อเราตายไปแล้วเราก็ไม่สามารถจะนำทรัพย์สินใด ๆ ไปได้ทั้งหมด
องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงบอกว่า การเกิดเป็นของไม่ดี เมื่อเกิดมาแล้วมีร่างกายนี้ เราไม่สามารถจะทรงได้ ท่านทั้งหลายจึงไม่ควรยึดถือสิ่งใดทั้งหมดว่า เป็นเรา เป็นของเรา เพราะว่าสิ่งทั้งหลายที่เราถือว่าเป็นเราเป็นของเรา ความจริงมันไม่ใช่ ถ้ามันเป็นเราจริงเป็นของเราจริง มันก็ต้องไม่ตาย ไม่สลายตัวไป เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรสอนไว้ เพื่อเป็นการละความเกิด หากว่าท่านทั้งหลายไม่ยึดถืออะไรทั้งหมดในโลก ตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้ ขั้นสุดท้ายของอานาปานุสสติกรรมฐาน หรือมหาสติปัฏฐานเหมือนกันว่า “เธอทั้งหลายจงอย่ายึดถืออะไรทั้งหมดในโลกว่าเป็นเรา เป็นของเรา” อารมณ์ของธรรมดาจริง ๆ ยอมรับนับถือการเกิดขึ้น การเสื่อมไป การดับไปของร่างกายจริง ๆ โดยมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวมาก มีอารมณ์กระทบจิตบ้าง แต่หวั่นไหวน้อย ไม่ยึดถือมากเกินไป เวลาจะตายจริง ๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร อาการอย่างนี้มันเป็นของพระโสดาบัน คนที่ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า นี่มันเรื่องไม่แปลก ของธรรมดา อารมณ์ของการยอมรับนับถือธรรมดาด้วยความจริงใจเป็นเรื่องของพระโสดาบันขึ้นไป
ท่านทั้งหลายก็ตั้งใจรู้ไว้เลยว่า ใครก็ตามที่ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา อารมณ์นี้มันจะรักนิพพาน เพราะมันเกลียดตัวเกิด เกิดนี่มันเป็นธรรมดาจริง ๆ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ตัวทุกข์มันตามมา เมื่อเราเห็นว่าการเกิดมันไม่ดีอย่างนี้ หาความเที่ยงไม่ได้ เต็มไปด้วยความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่ต้องการมันเป็นอย่างนั้น แต่กฎธรรมดามันบังคับว่าต้องเป็น ก็เลยสบายใจ เมื่อความแก่เกิดขึ้น ความป่วยไข้ไม่สบายก็เกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เกิดขึ้น ความตายมีมา ถึงไม่หนักใจถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา พอถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้วก็เห็นว่า เกิดนี่มันไม่ดี มันเป็นอย่างนี้ ทางที่ไม่เกิดมีอยู่ก็คือ “พระนิพพาน” ถ้าเราปลดขันธ์ 5 เสียได้เมื่อไร หมายความว่า ถ้าเราไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว อาการอย่างนี้มันไม่ปรากฎ จิตมันก็กำหนดไว้เลยว่า ขึ้นชื่อว่าความเกิดไม่มีสำหรับเรา นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ความเกิดจะไม่มีสำหรับเราอีก ความเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี เราไม่ต้องการ หรือการที่จะมีอาการพิสมัยว่า โลกมนุษย์สวดสดงดงาม เทวโลก พรหมโลกสวยสดงดงาม มันเป็นที่น่าอยู่ ไม่มีสำหรับเรา เราต้องการอย่างเดียว อาการดับไม่มีเชื้อ โลกทั้ง 3 ไม่ต้องการทั้งหมด จิตที่เราจะกำหนดไว้ก็คือ ไม่มีกาย และก็มีนิพพานเป็นที่ไป ที่เรียกว่าท่านทั้งหลายได้เห็นธรรมดาแล้ว เป็นอันวางภาระในร่างกายเสีย นี่เป็นสักกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิตัวนี้นะ ตัวตัดความเข้าถึงความเป็นอรหันต์
หากท่านทั้งหลายพิจารณาสิ่งทั้งหลายอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ คำว่าเนือง ๆ ก็หมายความว่าเป็นปกติไม่ขาดสาย จิตใจของเราก็จะหมดจากความรู้สึกที่ติดอยู่ในความโลภ ที่ติดอยู่ในความรัก ติดอยู่ในความโกรธ ติดอยู่ในความหลง เพราะว่าสิ่งที่เราโลภ มันก็เป็นวัตถุของโลก ที่เรารักมันก็เป็นวัตถุของโลก ที่เราหลงมันก็เป็นวัตถุของโลก ในเมื่อวัตถุทั้งหลายซึ่งมีร่างกายเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี และวัตถุทั้งหลายอย่างอื่นก็ดี ที่เราไม่ติดมันเสียแล้ว ความโลภมันก็หมดไป ความรักมันก็หมดไป ความโกรธมันก็หมดไป ความหลงมันก็หมดไป
ข้อสำคัญ การเจริญอานาปานุสสติกรรมฐานหรืออานาปานบรรพในมหาสติปัฏฐาน ควรจะทรงกรรมฐานบทนี้ให้ถึงฌาน 4 ถ้าเราสามารถจะทำได้ หรือว่าถ้าไม่สามารถทรงฌาน 4 ได้ ก็ทรงอย่างน้อยขั้นปฐมฌาน ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะทรงได้ถึงปฐมฌาน ผลแห่งการเจริญวิปัสสนาญาณของท่านทั้งหลายจะไม่มีผลตามที่ต้องการ ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าจิตของเราเข้าไม่ถึงปฐมฌานเพียงใด ถ้าเราเจริญวิปัสสนาญาณจะไม่มีโอาสได้บรรลุผล เพราะว่าจิตของเราไม่มีกำลังพอ ถ้าจิตมีกำลังถึงปฐมฌานแล้ว วิปัสสนาญาณที่ท่านเจริญก็มีกำลังกล้าพอที่จะทำลายกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้ คือสามารถจะตัดกิเลสเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ได้ นี่ว่ากันถึงด้านสุกขวิปัสสโก อาการของฌาน 4 นี้ ท่านกล่าวว่า เป็นอาการที่จิตแยกออกจากกายอย่างเด็ดขาด เป็นญาณที่มีความสำคัญมาก ถ้าหากท่านทั้งหลายสามารถจะทรงอานาปานุสสติกรรมฐานได้ถึงฌาน 4 แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ถ้าหากท่านจะพิจารณาด้านวิปัสสนาญาณ ท่านมีบารมีแก่กล้าภายใน 7 เดือนได้อรหัตตผล ถ้ามีบารมีอย่างเลวที่สุด ภายใน 7 ปี ก็ได้สำเร็จพระอรหัตตผล
นี่เป็นอันว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนในอานาปานุสสติกรรมฐานอย่างเดียว ขึ้นต้นด้วยสมถะ และก็จบด้วยวิปัสสนาญาณ ถ้าบรรดาทุกท่านใช้กำลังจิตอย่างนี้ได้ ก็แสดงว่าเจริญเพียงแค่อานาปานุสสติกรรมฐานอย่างเดียว ก็เป็นพระอรหันต์ได้โดยไม่ยาก

ผ้าชายจีวรของพระพุทธองค์เสด็จปรากฏในมือ

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่ทาเคยเล่าให้ฟังถึงมูลเหตุที่จะมีโอกาสได้ไปเยือนดินแดนพรหมโลก แม่ทารำลึกบอกตนเอง “จะลองไปดูหน่อยเถอะน่าว่าจะเป็นอย่างไร เพราะสถานที่ต่างๆ เราก็เคยไปเยือนมาแล้ว” ดินแดนลึกลับต่างๆ ที่แม่ทา เคยส่งกระแสจิตไปเยือนไม่ว่าจะเป็นดินแดนนรกภูมิ สรวงสวรรค์ แดนพญานาค ครั้งนี้แม่ทาจึงอยากไปพิสูจน์ตามที่เขาเล่าขานกันมาจะเป็นจริงเพียงใด “ก็อยากไปดูซิ จะเป็นอย่างไร เพราะได้ยินแต่เสียงเล่าขานกันมานับแต่อดีต” ตกดึกคืนนั้น แม่ทาจึงได้กำหนดจิตลงสู่องค์ฌานตั้งมั่นดีแล้วจิตมีพลัง จากนั้นจึงค่อยๆกำหนดจิต กายทิพย์ค่อยๆเคลื่อนที่ลอยสูงขึ้นไปๆๆๆ กายทิพย์เคลื่อนผ่านดินแดนต่างๆจนกายทิพย์ของแม่ทาได้ลอยเคลื่อนมาถึงดินแดนหนึ่ง จิตผู้รู้ก็แสดงออกให้รับทราบ “แดนพรหมโลก”กายทิพย์แม่ทามีโอกาส เยือนดินแดนพรหมโลก ได้สัมผัสเยือนดินแดนที่ผู้คนปรารถนารองจากแดนพระนิพพาน กายทิพย์ของแม่ทาสัมผัสดินแดน พรหมโลก สัมผัสรู้ว่าพื้นนั้นอ่อนนุ่มคล้ายดังเดินไปเหยียบฟองน้ำแล้วอ่อนตัวลง จะมองไปทิศทางใดก็พบเห็นเป็นแต่พื้นแบนรายเรียบเสมอกันหมดสุดลูกหูลูกตา กายทิพย์แม่ทา ย่างเท้าสัมผัสเหยียบลงไปก็จะปรากฏให้เห็นเป็นรอยเท้าได้ชัดเจน(แม้ ณ วันนี้หากแม่ทาส่งกระแสจิตไปชมเยือนแดนพรหมโลก ก็ยังปรากฏเห็นรอยเท้าของแม่ทาได้ประทับจารึกไว้)กายทิพย์แม่ทาจึงได้ออกเดินสำรวจไปดูรอบดินแดนพรหมโลก เดินย่างเท้าลงไป ณ บริเวณใด ก็ปรากฏว่า เท้าจะจมลงสู่พื้นมองดูลึกจนถึงเข่า เดินสำรวจวนเวียนไปมาจึงหยุดมองดู เห็นเป็นแต่แสงสลัว จิตของแม่ทาจึงแสดงให้ทราบ “สิ้นสุดแล้วจะไปไหนอีก ส่วนรูปกายของเหล่าท่านพรหม บนดินแดนพรหมโลก ที่แม่ทาได้สัมผัสด้วยอาศัยจิตที่ละเอียด เพ่งพิจารณาดูก็จะเห็นเหล่าท่านพรหม มีกิริยา ท่าทางสง่างาม จะนั่ง เดิน ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยในปีเข้าพรรษา พ.ศ.2542 แม่ทาได้นำพาคณะศิษย์ออกปฏิบัติภาวนา เป็นประจำทุกค่ำคืนตามสถานที่ต่างๆ ค่ำคืนหนึ่งแม่ทาก็ได้นิมิตเห็นพระวรกายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏให้ทราบพร้อมเมตตาโอวาทแด่แม่ทา “ปฏิบัติไปเมื่อถึงวันเวลาที่เหมาะสมออกพรรษาแล้ว จะมีรางวัลมองให้ในช่วงวันตักบาตรเทโว” แม่ทาน้อมรับฟังแต่ก็ยังไม่แน่ใจต่อเหตุการณ์ที่จะมาปรากฏเพราะมิได้ใส่ใจเท่าใดนักครั้นพอถึงวันออกพรรษา พ.ศ.2542 เป็นวันตรงกับการทำบุญตักบาตรเทโว ในค่ำคืนนั้นแม่ทาก็ได้นำคณะศิษย์นับ 60 ชีวิตพาไปนั่งปฏิบัติภาวนา อยู่ ณ บ้านหนองโหน่ง บ้านอาจารย์อุมาภรณ์ ทองรักษ์, คุณไล บ้านหนองบั่ว ต.ช้างเผือก อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด พอดีกับในค่ำคืนนั้นผู้เขียน(พันธกานต์ กิ้มทอง) ได้พาหมู่เพื่อนฝูงจาก กทม. ประกอบด้วยคุณวิจักษ์, คุณฐาปนี, คุณกุ้ง พี่เหมียว มากราบเยี่ยมแม่ทา และได้เดินทางมายังบ้านอาจารย์ไล พอดีกับในช่วงค่ำคืนนั้น แม่ทาได้พาคณะศิษย์บำเพ็ญสมาธิฝึกอบรมจิตสมาธิให้แก่บรรดาศิษย์นานหลายชั่วโมง ขณะนั้น จิตของแม่ทาก็ได้สัมผัสเห็นรัศมีแห่งคุณธรรมปรากฏเป็นรูปพระวรกาย ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครองผ้าจีวรสวยงามห่มจีวรแบบห่มคลุมไหล่ทั้งสอง จิตแม่ทา ได้ยลเห็นรูปพระวรกายของพระองค์ท่านยืนลอยเด่นเหนือพื้น พระบาทลอยอยู่ในนภากาศ พระพุทธองค์ทรงเมตตาประทานอนุเคราะห์แด่ผู้น้อยผู้ทุกข์ยากลำเข็ญ เข็ญใจ แด่แม่ทายิ่งนัก “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต” จิตแม่ทาได้เห็นพระพุทธองค์ ทรงครองผ้าจีวรงามสง่า พร้อมกันนั้นพระพุทธองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมา ชายผ้าจีวรคล้ายดั่งทองคำปลิวไสวยื่นยาวออกมา ทางแม่ทานั้นจึงได้ยื่นมือขึ้นไปสัมผัสกับชายผ้าจีวรของพระพุทธองค์ที่ทอดยาวออกมาให้ได้สัมผัส ครั้นแม่ทาได้สัมผัสชายจีวรของพระพุทธองค์ก็บังเกิดเป็นเหมือนมีแรงดึงดูดระหว่างตัวแม่ทากับพระพุทธองค์ และบังเกิดแสงสายรุ้งขึ้นที่ชายจีวรนั้นทอดลงมาพุ่งมาจากจีวรสู่มือแม่ทา ครั้นได้สัมผัสก็รู้สึกว่าเหมือนมีพลังธรรมบางอย่างมาครอบงำทำให้ร่างกายแม่ทาไม่สามารถขยับเขยื้อนกายได้ ด้วยอำนาจรัศมีธรรมของพระพุทธองค์ แต่ด้วยความที่แม่ทามีสติรักษาใจไว้ได้ดี แม่ทาได้สัมผัสรับทางจิต“รับเอาไว้เอาไว้ เพราะตั้งแต่ปฏิบัติมานี่ ก็ยังไม่เคยได้รับซักครั้งให้เก็บเอาไว้รักษา” ครั้นปรากฏว่าแม่ทาได้ถอนจิตออกจากสมาธิ ผลแห่งรางวัลตอบแทนแห่งการปฏิบัติที่ปรากฏเป็นรูปธรรมได้ปรากฏมีชายผ้าผืนหนึ่งมีสีกลักเข้ม ขนาดประมาณกว้าง และยาว 10 ซ.ม. ปรากฏอยู่ในมือแม่ทาอย่างน่าอัศจรรย์ในขณะที่ถอนจิตออกมานั้นปรากฏด้วยอำนาจแสงแห่งรัศมีคุณธรรมของพระพุทธองค์ แผ่รัศมียังร่างกายแม่ทา ทำให้พลังที่แม่ทาได้รับสัมผัสมานี้ ถึงแม่ทาจะถอนจิตออกจากสมาธิแล้วก็ยังปรากฏว่าร่างกายของแม่ทาก็ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ทันทีโดยสะดวก สักพักครู่ใหญ่ ทางคณะศิษย์นำโดยอาจารย์เทพประสิทธิ์ จึงได้นำภาชนะพร้อมดอกบัวมาอัญเชิญจีวรของพระพุทธองค์ที่ปรากฏอยู่ในกำมือแม่ทา อัญเชิญมาอยู่ในภาชนะที่เตรียมรองรับ ขณะเดียวกันร่างกายของแม่ทาเองก็ยังขยับเขยื้อนลำบาก เจ็บปวดทรมานกาย เนื่องจากเวทนากายยังร้อนแรง ประกอบกับอำนาจแห่งแสงรัศมีคุณธรรมของพระพุทธองค์ ยังแผ่รัศมี แผ่พลานุภาพอยู่ คล้อยหลังสักพักใหญ่ ร่างกายของแม่ทาจึงค่อยๆกลับเข้าสู่สภาวะปกติภายหลังต่อมา มีลูกศิษย์ของแม่ทาหลายๆท่านประสงค์ใคร่อยากได้จีวร ของพระพุทธองค์ไปบูชา แต่นับดูจำนวนลูกศิษย์มีจำนวนมากมาย ผ้าจีวรที่เสด็จมาในมือแม่ทามีขนาดจำกัด จึงได้จัดสรรโดยการแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ โดยอาจารย์หอมหวน เรืองยศ เป็นผู้ขออนุญาตตัดชายจีวรผืนที่เสด็จมาปรากฏอยู่ในมือแม่ทา แจกจ่ายสู่ยังบรรดาลูกศิษย์ลูกหาได้นำไปบูชากันอย่างทั่วถึงแต่ก็ยังมีผู้คนอีกจำพวกหนึ่งที่ไม่ค่อยปฏิบัติธรรมภาวนาจริงจัง จิตเป็นมิจฉาทิฐิได้รับชายจีวรพระพุทธองค์ไปก็ลบหลู่ไม่ค่อยเชื่อในเหตุการณ์ที่ปรากฏแม่ทาได้กล่าวให้ทราบในภายหลังว่า “แต่ก็มีหลายๆผู้คนที่ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องเช่นนี้ แม่ทาจึงไม่ได้นำชายจีวรที่เหลือแจกให้ใครได้นำไปบูชา เกรงจะเป็นกรรมเพราะพระพุทธองค์ ท่านก็ทรงเมตตาสั่งสอนธรรมไว้หมดแล้ว ทุกอย่างก็อยู่ที่เรา ต้องนำมาปฏิบัติเอา เพราะถึงอย่างไร วัตถุต่างๆก็สู้การมาครองดูจิต ดูกาย ในกายตนไม่ได้” แม่ทาได้เมตตาเล่าให้ทราบภายหลังว่า หากวันที่จะมีโอกาสนิมิตเห็นพระพุทธองค์และได้สัมผัสรัศมีคุณธรรมของท่าน ในส่วนของแม่ทาจะได้สัมผัสเฉพาะวันออกพรรษา วันตักบาตรเทโว เท่านั้น
“มนุษย์เราเอ๋ย ก่อนที่เราจะเที่ยวไปขอพรจากใครคนหนึ่ง
ขอให้เราจงสำรวจตรวจตราดูอย่างต้นข้าว กว่าจะผลิรวงเป็นเมล็ดก็ใช้เวลานาน กว่าจะได้ผลผลิตดังหมายการทำการกุศล ความดีงามก็เช่นกันนั้นก็ย่อมมีกาล มีเวลาเป็นของมันเองจะไปเร่งเทพเทวดา จะเร่งบุญกุศลเช่นไรได้อย่างไรเล่า เหมือนฤดูฝนก็ย่อมมีกาลมีเวลาของมัน แล้วชะตาชีวิตคนเราก็เช่นกันเมื่อกาล นั้นยังไม่ถึงพร้อมเจ้าจะไปเร่งแสวงหา จากใครกันเล่าเพราะกรรมที่เราสร้างไว้ สมสั่งเพียรเพียงพอหรือยังศีล ทาน เมตตา กตัญญู ภาวนา อย่าลดละบูชา และปฏิบัติ แต่สิ่งที่ดีงามครั้นกาลเวลาส่งอำนวย ทั่วฟ้าจบดินแม้แต่เทวดาก็มิอาจต้านทานใน กรรมกุศลของเราไปได้”
อดทนสู้สมสั่งอบรมจิตเพื่อจิตที่ดีงามพันธกานต์ กิ้มทอง (โจ)

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ขอเชิญ ร่วม เป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี


ณ. สำนักปฏิบัติธรรม ภูริทัตตะ ต.ดูกอึ่ง อ.หนองฮี จ.ร้อยเอ็ด


ในวันที่ 25-26 ตุลาคม 2551 นำโดย คุณแม่จันทา ฤกษ์ยาม


และคณะศิษยานุศิษย์ และเหล่าบรรดาญาติธรรม สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


เพื่อก่อสร้างซุ้มประตูวัดให้แล้วเสร็จ




โดยมีกำหนดการดังนี้


วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม 2551 (แรม 11 คำ เดือน 11)


ตั้งองค์กฐิน ณ.สำนักปฏิบัติธรรม ภูริทัตตะ


วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม 2551 (แรม 12 คำ เดือน 11)


เวลา 09.00 น. ทำพิธีถวายกฐินณ.สำนักปฏิบัติธรรม ภูริทัตตะ


จึงบอกบุญมายังคณะศิษยานุศิษย์ และญาติธรรมทั้งหลาย ได้ร่วมสร้างบุญบารมีในครั้งนี้ด้วยกัน


หากไม่สะดวกเดินทางไปร่วมบุญในครั้งนี้ สามารถส่งธนาณัติ


สั่งจ่ายในนาม


คุณ แม่จันทา ฤกษ์ยาม


ที่อยู่ สำนักปฏิบัติธรรม ภูริทัตตะ ต.ดูกอึ่ง อ.หนองฮี จ.ร้อยเอ็ด

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สังโยชน์ 10 บทส่งท้ายภาคโลกุตตระ

คนเรา ถ้าบาปหนา จิตหยาบ-ก็จะมองไม่เห็น"ความผิดของตนเอง"!!!
สังโยชน์ 10-กิเลสที่เหนี่ยวร้อยรัดให้ตกอยู่ในวัฏฏะ.....
1.สักกายทิฏฐิ-ความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน คือ ยึดขันธ์ 5 รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ที่สรุปลงเป็น "รูป-นาม" ล้วนมี"ตัวตน"เป็นของเรา
2.วิจิกิจฉา-ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ ในคุณพระรัตนตรัย ว่าจะนำพาตนให้พ้นทุกข์
3.สีลัพพตปรามาส-การถือมั่นศีลพรต อย่างไม่จริงจังเคร่งครัด โดยสักแต่ว่า ทำตามกันไปอย่างงมงาย
4.กามฉันทะ-ความกำหนัดหมกมุ่น ติดอกติดใจในกาม
5.ปฏิฆะ-การกระทบกระทั่งแห่งจิต ได้แก่ ความหงุดหงิด ด้วยอำนาจโทสะ ความคับแค้น ความขึ้งเครียด ซึ่งเป็นอารมณ์ผูกโกรธ ที่จะจองล้างจองผลาญกันต่อไปไม่สิ้นสุด
6.รูปราคะ-ความติดใจ ยึดมั่นถือมั่นในรูปฌาน ความปรารถนาในรูปภพ โดยถือว่า รูปภพเหล่านี้ เป็นสิ่งวิเศษดีเลิศ
7.อรูปราคะ-ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน ความปรารถนาในอรูปภพ ว่าเป็นคุณวิเศษ ที่จะให้พ้นจากวัฏฏะ
8.มานะ-การมีอารมณ์สำคัญตน คือ ถือตนว่า เป็นนั่นเป็นนี่ มีชั้นวรรณะสูงกว่าคนอื่น
9.อุทธัจจะ-ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ครุ่นคิดอยู่แต่ในอกุศล
10.อวิชชา-ความไม่รู้จริง ทำให้หลงคิดว่า ทุกสิ่งของโลก เป็นของเที่ยงแท้......
ท่านที่ฝึกปฏิบัติผ่านหลักสมถะ วิปัสสนา หรือรับแสงทิพย์อริยธรรม+ พระ 7 พระองค์ไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่า จิตใจของตนเอง หลุดพ้นจากกิเลสมากน้อยเพียงใด?
ดังนั้น จึงเสนอบทส่งท้ายภาคโลกุตตระนี้แด่ทุกท่าน เป็นตารางเปรียบเทียบ ตรวจสอบกับภาวะการปฏิบัติจิตของท่านเอง
มาตรแม้น ยังมีกิเลสมากอยู่ ก็ขอให้ท่านพยายามฝึกจิต ปฏิบัติบำเพ็ญให้ลดละให้ได้ เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสสังโยชน์ 10 อันเป็นกิเลสที่ดึงเหนี่ยวร้อยรัด ให้ตกอยู่ในวัฏฏสงสาร ที่ต้องมาเกิดอีก เพราะกิเลส ที่ผูกใจคนมัดไว้กับความทุกข์.....
-ตัดได้ 3 ข้อแรก-ก็เป็นพระอริยเข้าขั้นต้น คือ พระโสดาบัน(รักษาศีล 5 ได้บริสุทธิ์จริงๆเป็นปกติ 100% ไม่สามารถทำผิดศีล 5 ได้เลย ไม่ว่าข้อไหน และไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าจำเป็นต้องทำผิด ท่านยอมตายเสียดีกว่า)
-ตัดกิเลสโลภ-โกรธ-หลงเบาบางลงไปได้อีก-ก็เป็นพระสกิทาคามี
-ตัดกิเลสสังโยชน์เพิ่มข้อ 4-5 ได้อีก-ก็เป็นพระอนาคามี(ไม่มีโกรธและไม่มีกามราคะ เพราะตัดได้หมดแล้ว)
-ตัดได้ทั้ง 10 ข้อ -ก็เป็นพระอรหันต์ พระอริยเจ้าขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา
ทั้งนี้ ขอกระซิบฝากไว้นิดหนึ่งว่า คนเรา ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า ผ่านได้กี่ข้อ ก็เป็นการสำเร็จมรรคผลชั้นนั้น ชั้นนี้ เพราะว่า
"เมื่อยึดขั้น-ยึดชั้น ก็เป็นการยึดตัวตน เป็นก้าวแรกของความหลง เป็นเหตุต่อเนื่อง ปรุงแต่งให้เกิดทุกข์อยู่ร่ำไป".....

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

คำนำจากผู้บันทึก(พิมพ์ครั้งแรก)

เรื่องราวที่ผู้บันทึกจะนำเสนอสู่สายจิตสายธรรมของทุกๆ ท่านต่อไปนี้เป็นเพียงเกร็ดประวัติโดยย่อของสตรีผู้หนึ่งมีชีวิตที่น่าศึกษายิ่งสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาส ศรัทธามุ่งมั่นในการรักษาสติมีเพียงศีล 5 เป็นกรอบในการดำเนินชีวิต สตรีผู้นี้หนังสือหนังหาก็อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แต่ทว่าคุณธรรมแห่งการปฏิบัติธรรมที่ชำระสะสางกิเลสให้เบาบางลงจากจิต (ในประวัติส่วนนี้ผู้บันทึกจะไม่ขอกล่าวถึงให้มากนัก) คุณธรรมในจิตใจนั้นแม้แต่เหล่าเทพเทวดาสวรรค์ชั้นต่างๆ ตลอดยังภูตผีวิญญาณชาวบังบดยังมากราบไหว้ขอทางสว่างแห่งชีวิต สตรีใจเหล็กผู้นี้เป็นที่กล่าวขานยกย่องในแวดวงพระกรรมฐานสายพระอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สรรเสริญยกย่องในด้านความเพียรรักษาสติได้อย่างเป็นเลิศ ถึงแม้จะเป็นเพียงอุบาสิกาชาวบ้านป่านาดอนธรรมดาๆผู้หนึ่ง แต่ทว่าด้านจิตใจและคุณธรรมนั้นมิใช่ธรรมดา พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาทิ พระเดชพระคุณหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แห่งวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย พระอริยเจ้าผู้บรรลุธรรมอรหันต์ผู้ล่วงลับ อีกทั้งพระคุณท่านหลวงปู่หล้า เขมปัตโต พระอริยสงฆ์ แห่งภูจ้อก้อ จ.มุกดาหาร ยังกล่าวขานยกย่องสตรีผู้นี้ว่ามีความเพียรเป็นเลิศมีจิตใจเด็ดเดี่ยวอย่างแท้จริง ดังคำกล่าวบทหนึ่งของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต กล่าวกับสตรีผู้นี้ว่า “บำเพ็ญทุกวันนี้อย่าปฏิบัติเข้มมากนักพักผ่อนซะบ้าง” จนในภายหลังสตรีผู้นี้ได้ผ่อนคลายจากการปฏิบัติความเพียรจากการฝึกสติอยู่ในองค์บริกรรมภาวนาพุทโธ ทั้งหลางวัน กลางคืน โดยการไม่ยอมหลับยอมนอนเป็นระยะเวลา 3 เดือนเต็มๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 ปี หรือแม้แต่ท่านหลวงปู่บุญมี สิริธโร อริยสงฆ์แห่งวัดป่าเลิง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ผู้ล่วงลับยังกล่าวขานถึงลูกสาวในอดีตชาติของท่านด้วยความไม่น่าเป็นห่วงในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นในชาตินี้หากจะกล่าวถึงพระภิกษุรูปหนึ่งในยุคปัจจุบันนามหลวงพ่อมหาบุญทัน ปุญญทัตโต แห่งวัดป่าสามัคคีสันติธรรม อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น ภิกษุผู้มากด้วยบารมีธรรมที่หลวงพ่อบุญทันยังกล่าวยกย่องสตรีผู้นี้ว่ามีครูบาอาจารย์คอยติดตามดูแลรักษาจิต และเตือนจิตภพในชาตินี้ ท่านยังกล่าวถึงอุบาสิกาผู้มีนามว่าแม่จันทร์ทา ฤกษ์ยาม แห่งบ้านหนองไศล กิ่ง อ.หนองฮี จ.ร้อยเอ็ด ว่า “วันนี้หลวงปู่ใหญ่ก็มา ด้วยเนอะ” ในคราวที่แม่ทาพาคณะศิษย์ไปกราบเยี่ยมหลวงพ่อบุญทันที่วัด หรืออย่างพระอาจารย์บุญชวน ธัมมโฆสโก วัดป่าวังน้ำทิพย์ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ผู้ซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี แห่งวัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.อุบลราชธานี ภิกษุผู้มีความเพียรเป็นเลิศ พระอาจารย์บุญชวน ธัมมโฆสโก ยังกล่าวขานยกย่องด้วยไม่มีความสงสัยในคุณธรรมใดๆ ของอุบาสิกาแม่จันทร์ทา ฤกษ์ยาม ผู้นี้ บางครั้งพระอาจารย์บุญชวนมีเรื่องต้องการความช่วยเหลือในเรื่องบางอย่างก็ได้อุบาสิกาแม่จันทร์ทา ฤกษ์ยาม ผู้นี้เองเป็นผู้ช่วยเหลือ อีกทั้งพระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช แห่งวัดถ้ำแสงธรรม อ.บึงโขงหลง จ.หนองคาย ภิกษุผู้มีญาณวิถีจิตคล่องแคล่วว่องไวมีอภิญญาจิตสูงส่ง พระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช กล่าวยกย่องถึงแม่ทาต่อหน้าคณะศิษย์ว่า “แม่ทาเป็นเจ้าแม่กวนอิมลาว” หรือแม้กระทั่งภิกษุหลวงพ่อสายทอง เตชะธัมโม ท่านอยู่ที่วัดป่าห้วยกุ่ม ในเขตอำเภอเกษตรสมบูรณ์ ตรงข้ามกับเขื่อนห้วยกุ่ม จังหวัดชัยภูมิ การบำเพ็ญเพียรภาวนาของพระภิกษุรูปนี้ท่านเดินจงกรมฝ่าเปลวแดดอันร้อนระอุในภาคกลางวัน บางครั้งมีญาติโยมเข้าไปกราบนมัสการท่าน คิดอะไรเพลินอยู่ในใจ ท่านก็หยั่งรู้วาระจิตกล่าวทักออกมาให้ผู้นั้นได้ประจักษ์ หรือแม้บางครั้งศรัทธาญาติโยมมีเรื่องทุกข์ร้อนต่างๆ นานา ต้องการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งอยากให้เศรษฐกิจในครัวเรือนเจริญรุ่งเรือง ไปปรึกษาท่าน ปรับทุกข์ให้ท่าน ท่านเพียงนั่งอธิษฐานจิตช่วยอยู่ที่วัด บางรายก็ดีขึ้น (ทุเลา) บางรายก็ได้สำเร็จดังใจ พระอาจารย์รูปนี้หรือผู้บันทึกจะเรียกท่านว่าหลวงพ่อยังกล่าวถึงคุณธรรมของอุบาสิกาแม่จันทร์ทา ใจความว่า “ตัวเราเองไม่มีความสงสัยใดๆ ในคุณธรรมของแม่ทาเลย ในบรรดาฆราวาสทั้งหมดในประเทศไทยเท่าที่ได้รู้จักและสัมผัส” (คุณธรรมจิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง) หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดพอที่จะได้พึ่งพาอาศัยก็ได้สตรีใจเหล็กแม่จันทร์ทา ฤกษ์ยาม ผู้นี้แนะนำส่งเสริมเกื้อกูลในกิจต่างๆ ต่อกันเป็นอย่างดี แม่ทาผู้นี้เป็นใครมาจากไหน หลายท่านก็คงอยากจะทราบอยากจะรู้จักให้มากกว่านี้แต่การบันทึกประสบการณ์ชีวิตของแม่จันทร์ทา ฤกษ์ยาม ของผู้บันทึกในครั้งนี้ ขอให้คุณผู้อ่านญาติธรรมที่กำลังศึกษาธรรมประวัติจากชีวประวัติของแม่จันทร์ทา เล่มนี้ได้พิจารณาใคร่ครวญวิเคราะห์ด้วยวิจารณญาณของตนให้แจ่มชัด อย่าเพิ่งเชื่อโดยขาดเหตุผลที่สมควรอย่าปฏิเสธโดยที่ยังไม่ได้ลองปฏิบัติจิตภาวนา พิจารณาดูเนื้อหาสาระเพียงบางประโยคบางถ้อยคำ ที่ท่านคิดว่ามีประโยชน์สำหรับตัวท่าน น้อมโอปนยิโกสู่ตน ส่วนบทความเนื้อหาที่ท่านพิจารณาแล้วยังไม่มีเหตุผลน่าเชื่อถือมีประโยชน์น้อย หรือไม่มีประโยชน์เลยก็ขอให้ญาติธรรมวางใจให้เป็นอุเบกขาธรรม หากพิจารณาแล้วศรัทธาในชีวประวัติจากเรื่องบันทึกถึงด้วยเหตุด้วยผล ทั้งบุรุษเพศและสตรีเพศทุกคนเท่าเทียมกันไม่มีใครดีกว่ากันเลวกว่ากันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้นที่จะเลือกปฏิบัติดี หรือปฏิบัติไม่ดี ศึกษาให้เข้าใจ อย่างมงาย อย่าเพ้อฝัน มีสติอยู่กับกายกับจิต ศึกษาเรื่องของตนเองให้ถี่ถ้วน ก่อนที่จะศึกษาเรื่องของผู้อื่น รู้เรื่องของผู้อื่นหมดโลกก็ไม่เท่าเพียงหนึ่งนาทีที่รู้เรื่องจิต เรื่องของตนอย่างเข้าใจตรงความเห็นจริงเพื่อให้จิตมีคุณภาพอย่างแท้จริง....ด้วยรักและจริงใจ สรรค์สร้างสิ่งอันจะเป็นประโยชน์สู่ทุกๆท่านตลอดมาและตลอดไป ตามภูมิปัญญาอันน้อยนิดที่มุ่งเน้นสร้างสรรค์สู่ชน...
กราบเรียนถึงญาติธรรมทุกๆ ท่านด้วยความเคารพเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้
นายพันธกานต์ กิ้มทอง
กองทุนเผยแพร่เกียรติประวัติพระอริยผู้ทรงธรรม

สมาธิในอริยมรรคอริยผล


ทีนี้ถ้าหากว่า จิตย้อนมามองรู้เห็นอย่างนี้ จิตของผู้นั้นเดินทางถูกต้องตามแนวทางอริยมรรค อริยผล หรือไม่ ถ้าหากว่า สงบ สว่าง นิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน ร่างกายตัวตนหาย แล้วก็สงบละเอียดเรียวไปเหมือนปลายเข็ม อันนี้เรียกว่าสมาธิขั้นฌานสมาบัติ ไปแบบฤาษีชีไพร ถ้าหากจิตของผู้ปฏิบัติไปติดอยู่ในสมาธิแบบฌานสมาบัติ มันก็เดินฌานสมาบัติ ทีนี้ฌานสมาบัตินี้มันเจริญง่ายแล้วก็เสื่อมง่าย ในเมื่อมันเสื่อมไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรเหลือ แต่ถ้าหากสมาธิแบบอริยมรรคอริยผลนี้ ในเมื่อเราได้สมาธิซึ่งเกิดภูมิความรู้ความเห็น เช่น เห็นร่างกายเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไปแล้ว ภายหลังจิตของเราก็จะบอกว่าร่างกายเน่าเปื่อยเป็นของปฏิกูล ก็ได้ อสุภกรรมฐาน เนื้อหนังพังลงไปแล้วยังเหลือแต่โครงกระดูก ก็ได้อัฐิกรรมฐาน ทีนี้เมื่อโครงกระดูกสลายตัวแหลกไปในผืนแผ่นดินจิตก็สามารถกำหนดรู้ได้ธาตุกรรมฐาน แต่เมื่อในช่วงที่จิตเป็นไปนี่ จิตจะไม่มีความคิด ต่อเมื่อถอนจากสมาธิมาแล้วสิ่งที่รู้หายไปหมด พอรู้ว่ามันมาสัมพันธ์กับกายเท่านั้นเอง จิตตรงนี้จะอธิบายให้ตัวเองฟังว่านี่คือการตาย ตายแล้วมันก็ขึ้นอืด น้ำเหลือไหล เนื้อหนังพังไปเป็นปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก ในเมื่อเนื้อหนังพังไปหมดแล้วก็ยังเหลือแต่โครงกระดูก ทีนี้โครงกระดูกมันก็แหลกละเอียด หายจมลงไปในผืนแผ่นดิน ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะเหตุว่าร่างกายของคนเรานี้มันมีธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขามีที่ไหน ถ้าจิตมันเกิดภูมิความรู้ขึ้นมาอย่างนี้ ภาวนาในขณะเดียวความเป็นไปของจิตที่รู้เห็นไปอย่างนี้ ได้ทั้งอสุภกรรมฐาน อัฐิกรรมฐาน ธาตุกรรมฐาน ประโยคสุดท้ายไหนเล่าสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขามีที่ไหน จิตรู้อนัตตา เรียกว่า อนัตตานุปัสสนาญาณ ภาวนาทีเดียวได้ทั้งสมถะ ได้ทั้งวิปัสสนาการกำหนดหมายสิ่งปฏิกูลน่าเกลียดหรือกำหนดหมายรู้โครงกระดูก แล้วก็กำหนดหมายรู้ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสมถกรรมฐาน ส่วนความรู้ที่ว่าสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขาไม่นมีที่ไหน เป็นวิปัสสนากรรมฐาน เพราะฉะนั้น ท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย สมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน เป็นคุณธรรมอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อไม่มีสมาธิ ไม่มีฌานไม่มีวิปัสสนา ไม่มีวิปัสสนาก็ไม่มีวิชาความรู้แจ้งเห็นจริง เมื่อไม่รู้แจ้งเห็นจริง จิตไม่ปล่อยวางก็ไม่เกิดวิมุตติความหลุดพ้น สายสัมพันธ์มันก็ไปกันอย่างนี้ อันนี้เป็นแนวทางการปฏิบัติกรรมฐานในสายของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเพราะฉะนั้น เราอาจจะเคยได้ฟังว่า ภาวนาพุทโธแล้วจิตได้แต่สมถกรรมฐานไม่ถึงวิปัสสนา อนุสติ 10 พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ จาคานุสติ อุปสมานุสติ ภาวนาแล้วจิตสงบหรือบริกรรมภาวนา เมื่อจิตสงบแล้วถึงแค่สมถกรรมฐาน เพราะว่าภาวนาไปแล้วมันทิ้งคำภาวนา เพราะฉะนั้น คำว่า พุทโธๆๆ นี้มันไม่ได้ติดตามไปกับสมาธิ พอจิตสงบเป็นสมาธิแล้วมันทิ้งทันทีทิ้งแล้วมันก็ได้แต่สงบนิ่ง แต่อนุสติ 2 อย่าง คือ กายคตานุสติ อานาปานสติ ถ้าหลักวิชาการท่านว่า ได้ทั้งสมถะทั้งวิปัสสนาทีนี้ถ้าเราภาวนาพุทโธ เมื่อจิตสงบนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ถ้ามันเพ่งออกไปข้างนอกไปเห็นภาพนิมิต ถ้าหากว่านิมิตนิ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นสมถกรรมฐาน ถ้าหากนิมิตเปลี่ยนแปลงก็เป็นวิปัสสนากรรมฐาน ทีนี้ถ้าหากจิตทิ้งพุทโธ แล้วจิตอยู่นิ่งสว่าง จิตวิ่งเข้ามาข้างใน มารู้เห็นกายในกาย รู้อาการ 32 รู้ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่งร่างกายปกติแล้วมันตายเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป มันเข้าไปกำหนดรู้ความเปลี่ยนแปลงของสภาวะคือกายกับจิต มันก็เป็นวิปัสสนากรรมฐาน มันก็คลุกเคล้าอยู่ในอันเดียวกันนั้นแหละแล้วอีกประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะเคยได้ยินได้ฟังว่าสมาธิขั้นสมถะไม่เกิดภูมิความรู้ อันนี้ก็เข้าใจผิด ความรู้แจ้งเห็นจริง เราจะรู้ชัดเจนในสมาธิขั้นสมถะ เพราะสมาธิขั้นสมถะนี่มันเป็นสมาธิที่อยู่ในฌาน สมาธิที่อยู่ในฌานมันเกิดอภิญญา ความรู้ยิ่งเห็นจริง แต่ความรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในขณะที่จิตอยู่ในสมาธิขั้นสมถะ มันจะรู้เห็นแบบชนิดไม่มีภาษาที่จะพูดว่าอะไรเป็นอะไร สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น เช่น มองเห็นการตาย ตายแล้วมันก็ไม่ว่า เน่าแล้วมันก็ไม่ว่า ผุพังสลายตัวไปแล้ว มันก็ไม่ว่า ในขณะที่มันรู้อยู่นั่น แต่เมื่อมันถอนออกมาแล้วยังเหลือแต่ความทรงจำ จิตจึงจะมาอธิบายให้ตัวเองฟังเพื่อความเข้าใจทีหลังเรียกว่าเจริญวิปัสสนา

จิตพิจารณาสักกายทิฐิ


จิตแม่ทารู้เห็นแล้วได้พิจารณาดูร่างกายของตนเองอย่างละเอียดจนเห็นอวัยวะทั้งภายในภายนอกของตนอย่างละเอียดด้วยความมีสติปัญญา การที่จิตของแม่ทาจะดับลงจากสักกายทิฐิได้จริงๆ มีวิธีการเดียว โดยการนั่งพิจารณาร่างกายของตนเองจนแจ้งชัดในภูมิวิปัสสนากรรมฐาน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ที่ได้ฝึกสติจนตั้งมั่นเป็นสมถะ จิตมีพลังอำนาจสูงจากการฝึกสติอยู่กับพุทโธได้ 6 ปี แม่ทาก็พิจารณาทบทวนดูจิตเพ่งดูแต่ในกายตน สักพักก็ได้เห็นนิมิตเป็นกองฟืนแล้วมีไฟลุกพรึบท่วมกองฟืน ร่างของแม่ทานอนนิ่งเหมือนคนตาย เมื่อเห็นดังนั้นแม่ทาก็คิด “เอกูจะเอาร่างกายมาเผานี่ ทำไมไฟจึงลุกก่อน ควรที่จะให้เอาร่างกายนี้ไปตั้งกองฟืนแล้วค่อยจุดไฟ” จิตแม่ทาก็ได้ยินเสียงผู้รู้ตอบให้ทราบว่า “มันจึงรวดเร็วทันใจ” แล้วจิตแม่ทาก็ได้นำร่างกายของตนใส่ไปในกองไฟ ไฟก็ลุกท่วมเผาร่างกาย แล้วแม่ทาก็หาท่อนไม้ท่อนฟืนใส่สุมเข้าไปเพื่อให้ไฟไหม้ร่างกายให้หมดทั่วถึง ไฟก็เผาร่างกายให้หมดทั่วถึง ไฟก็เผาร่างของแม่ทาจนมอดดับลง จิตแม่ทาก็ได้เดินเข้าไปเขี่ยดูในกองขี้เถ้าดูว่ามันไหม้หมดหรือไม่ ก็พบชิ้นส่วนอวัยวะบางส่วนเป็นสีเทาๆ “มันทำไมเป็นสีเทาหนอ ส่วนนี้” จากนั้นก็เขี่ยไปเรื่อยๆ แล้วก็พบเห็นมีลิ้นยาวๆแลบลิ้นออกมาให้ดู แล้วก็เห็นลูกนัยน์ตากะพริบปริบๆมองมาที่แม่ทา แม่ทาก็ได้กำหนดพิจารณาให้มีกองฟืนอีกครั้ง แล้วกำหนดพิจารณาร่างกายขึ้นมาใหม่แล้วเพ่งไฟให้ไปเผาร่างกายเพื่อไม่ให้เหลือเศษชิ้นอวัยวะแม้แต่น้อย เมื่อไฟมอดก็ไปเขี่ยดูอีก ปรากฏเหลือนัยน์ตาเท่านั้นที่ไม่ยอมไหม้สลาย แม่ทาก็กำหนดจิตพิจารณาเพ่งไฟเผาร่างกายตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น แต่ก็ยังปรากฏว่าลูกนัยน์ตาก็ไม่ยอมไหม้ไฟเสียที จิตกายทิพย์แม่ทาก็เดินวนดูรอบๆ ลูกนัยน์ตา ลูกนัยน์ตานั้นก็กลิ้งกลุกๆ ตามแม่ทาตลอด แม่ทาเห็นดังนั้นจึงร้องบอก “ฮ่วย กูทำไมมาสูญ (โมโห) มากแท้ นี้กูจะทำอย่างไร เอาอะไรสับให้มันแตก” พูดดังนั้นก็ปรากฏว่ามีพลั่วมาสับลงไปที่ลูกนัยน์ตาจนแตกกระจาย แล้วแม่ทาจึงได้มาพิจารณาในกายรู้เห็นตามสภาวะเป็นจริง จิตรู้เห็นตามความจริง รู้แจ้งชัดในปัญญา รู้ว่าร่างกายของคนเรามนุษย์สัตว์ ใครๆก็ตาม เป็นร่างกายเปื่อยเน่าเป็นซากศพ เป็น โครงกระดูกก็ถูกนำไปเผาไฟเหลือแต่เถ้าถ่านครั้นฝนตกชะลงมา กาลเวลาผ่านไปนานวันก็ถูกดินทับถมลงไป จนเถ้าถ่านนั้นกลายเป็นดิน กลายเป็นต้นไม้ เถาวัลย์เป็นหญ้า กลายเป็นป่าเป็นดงต่อไป เมื่อรู้เห็นเช่นนี้ตามสภาวะความเป็นจริงแล้ว สักกายทิฐิคือความติดและหลงอยู่ในร่างกายของตนก็ถูกตัดขาดไป การละสักกายทิฐิคือ การละความยึดมั่นถือมั่นในกายตน ทำลายให้ขาดสะบั้นจากจิต ภูมิธรรมปัญญาแห่งการละสังโยชน์ 3 ประการ คือ ละสักกายทิฐิ (ความเห็นเป็นเหตุถือตัวถือตน) ละวิจิกิจฉา (ละความลังเลสงสัย) ละสีลัพพตปรามาส ละในการลูบคล้ำข้อวัตรปฏิบัติ(ศีล) ก็สามารถต่อกรกับกิเลสต่างๆ จนรู้แจ้งชัดประจักษ์ในจิตของตนเอง รู้ตนเองด้วยปัญญาธรรม บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้นไม่นับตั้งแต่ได้ฝึกสติอยู่กับองค์บริกรรมพุท-โธมาตลอดเวลา 7 ปีเต็มๆ ไตรลักษณ์ญาณแจ้งชัดในเรื่องสังขารร่างกาย ละความยึดมั่นถือมั่นในกายตน จิตมีพลังอำนาจสูงรู้แจ้งเพราะการได้ฝึกสติจนเป็นสมถะสู่การเดินปัญญาด้วยจิตสู่วิปัสสนาญาณภูมิ การรู้เห็นสิ่งต่างๆ ก็ยิ่งแม่นยำรู้ละเอียดขึ้นเพราะมิได้เอาความคิดเห็นแก่ร่างกายตนมาเป็นอารมณ์ แม่ทาฝึกสติกับพุท-โธ รู้แจ้งเห็นชัดดังกล่าวก็ยิ่งเกิดความมุ่งมั่นยิ่งขึ้นกับการฝึกสติเพื่อให้จิตเป็นอารมณ์เดียว...เอาจิตเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง จะเพ่งมองดูอะไรก็พอรู้พอทราบเข้าใจชัด จะออกไปทำนาเลี้ยงควายหุงข้าว จิตแม่ทาก็ไม่พลาดจากสติพุท-โธ รู้อย่างเดียวคือ พุท-โธ

พิจารณาอสุภนิมิตสู่การละสักกายทิฐิ


ต่อมาการปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิอยู่กับพุท-โธ ขอแม่ทาย่างเข้าสู่ปีที่ 7 จิตเริ่มมีพลังบริสุทธิ์ขึ้นไปตามลำดับ จิตสงบเป็นจิตทิพย์ แม่ทาได้นั่งภาวนาก็ได้นิมิตมองไปทางไหนก็มองเห็นแต่คนตายเต็มไปหมด แม่ทาถามตนเองว่า “มันเป็นอะไร ทำไมตายเยอะเหมือนกบเหมือนเขียดแท้” จิตแม่ทาส่องก็มองเห็นศพที่นอนตายนั้นปรากฏมองเห็นเป็นรูปแต่รูปร่างกายของแม่ทานอนนิ่งตาย จิตกายของตนได้ใช้เท้าคีบดูบริเวณใบหน้าของศพก็ปรากฏว่าศพนั้นก็หันหน้ายิงฟันเห็นแต่ออกมาให้แม่ทาดู จิตแม่ทาก็นึก “แบบนี้แหละหนอที่เขาได้เยี่ยวรดอย่างว่า” จิตของแม่ทาเห็นร่างกายของตนตายก็เดินไป “ตายก็ตายกูไม่สนใจกูไม่ดูหรอกดูได้แค่นี้” ปรากฏว่าขณะนั้นรูปกายของแม่ทาที่นอนแน่นิ่งอยู่นั้นก็เกิดอาการดิ้นกระตุกๆ ขึ้นมา จิตของแม่ทาก็พูดกับร่างนั้นว่า “โอ้ชักก็ชัก ตายก็ตาย ถ้าตายกูจะเผา” แล้วปรากฏว่าร่างกายนั้นก็ตายลงแล้ว แม่ทาก็ทำการเผาร่างกายของตนเอง ร่างนั้นตายแล้วก็ปรากฏฟื้นขึ้นมาอีกแล้วก็ตายลง แต่แม่ทาก็จัดการเผาร่างกายของตัวเองที่นอนตายอยู่นั้นจนเป็นกองใหญ่ ปรากฏว่าศพที่เผานั้นมีแต่ร่างของแม่ทาผู้เดียว จิตจึงได้บอกกับร่างนั้น” เออมึงตายผู้เดียวกูก็จะเผามึงผู้เดียว” แล้วก็ได้จุดไฟเผาร่างกายศพตนเองจิตของแม่ทาก็บอกตนเองว่า “เผาแล้วก็แล้วแต่มึงจะไหม้ กูไม่สนมึง” นิมิตในการพิจารณากายตนก็หายไปต่อมาแม่ทานั่งบำเพ็ญก็ได้ปรากฏรูปกายกิเลสจิตมารของตนขึ้นมาให้ทราบในนิมิตเข้ามาหาแสดงให้จิตของแม่ทารู้ มันร้องบอกแม่ทาว่า “เอ้า ถ้ามึงว่ามึงดี” แม่ทาก็นิ่ง จิตกิเลสมารก็แสดงต่อไปว่า “มึงว่ามึงดีจริงๆ ในกระดูกซี่โครงมึงมีกี่ซี่ ถ้ามึงเก่ง” จิตแม่ทาก็ตอบจิตกิเลสว่า “กูก็ไม่ได้เก่ง กูนับได้ขนาดนี้แหละ มึงอยากรู้จักอะไรนักหนา มันจะเกินร้อยหรือมันไม่พอร้อยหรอก กระดูกซี่โครงเฉยๆนับเอาแต่น้อยใหญ่ก็มี 12-13 ตั๋วะมึงจะเอาไปทำอะไร ?” จิตกิเลสมารที่ปรากฏเป็นรูปร่างแม่ทาก็ร้องบอกจิตแท้แม่ทาว่า “โอย มึงก็อย่าเก่งมากนัก” แม่ทาก็ตอบ “ไม่ได้ว่าเก่งอะไร กูนั่งเฉยๆ นี่ คนมายุ่งเกี่ยวกับกูกูโมโห ดีนะที่กูไม่เตะผ่าหมาก” จิตของแม่ทาพูดกับกิเลสจิตมารจะเป็นแต่คำพูดแทนตนว่ากูตลอด จิตกิเลสมารก็ร้องบอก “ไม่ ถามดูเฉยๆ” แม่ทา (จิต) “เรียกมาเพื่อนมึงมีกี่คน” จิตกิเลสมารตอบว่า “เพื่อนกูมีอยู่ 6” แม่ทาก็ท้าทายตอบไปว่า “6 ก็เอาทั้ง 6 ต่อให้มา 12 ก็ได้” จิตกิเลสมารมันก็ได้แสดงอาการเรียกเพื่อนมันมา “เฮ้ย ๆ มานี่” ก็ปรากฏว่าจิตกิเลสมารก็ได้ปรากฏเป็นรูปกายแม่ทา (จิต) มองดูมันทั้งหมด ก็พบเห็นว่าพวกกิเลสจิตมารนั้นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายตัวเองทั้งหมดเลย พวกมันก็พากันมายืนหวีผมอยู่รอบๆแม่ทา แล้วก็พากันนั่งลงข้างๆ แม่ทา หัวหน้ากิเลสมันจึงได้พูดบอกกัน “เอ้า อย่างนี้ซะ เฮาเรียกโต๋มานี่ไม่ใช่อะไร ถ้ามันเก่งให้มันเอาตับไตมันออกมาดูซิเฮาต้องเห็นด้วยกันทั้ง 6 คน”แม่ทา (จิต) ก็ถามกิเลสด้วยความองอาจ “มึงอยากดูอะไรนะ” กิเลสท้า “เอาออกมานี่ เอาออกมาเลย” แม่ทาก็ถามกลับ “แล้วมึงจะดูไปทำไม เดี๋ยวนี้มึงอยากดูจริงๆหรือ” กิเลสมารก็รีบตอบ “อยากดูล่ะซิกูถึงมา” พอกิเลสท้าทายเช่นนั้นจิตแม่ทาก็ถามย้ำ “มึงอยากดูจริงๆ หรือ” จากนั้นแม่ทาก็ทำการปลดล็อคบริเวณคอหอยคล้ายปลดสลักที่อยู่บริเวณคอหอยออกดังกริ๊ก แล้วจึงดึงอวัยวะภายในต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ตับ ไต ไส้ กระเพาะ ถุงน้ำดี เป็นต้น ออกมาจากร่างกาย หลุดออกมาเป็นพวงเส้นสายต่อเนื่องกัน จิตกายทิพย์ของแม่ทาก็ได้ร้องบอกกิเลสจิตมารที่มาท้าทาย “เอ้า นี่แหละมึงจะดูขนาดไหนมึงจะกินไหม” แล้วโยนออกไปกองวางให้พวกกิเลสมารมาดู แล้วมันก็ถามแม่ทาว่า “มองดูให้ครบไหม มึงตายแท้” เสียงอวัยวะต่างๆ ของแม่ทาที่อยู่ติดกันเป็นพวงก็ดังโกรกเกรกๆ แล้วเหล่าพวกกิเลสจิตมารที่แสดงรูปร่างเป็นรูปร่างหน้าตาคล้ายแม่ทาได้คุยกันว่า “มันต้องตายแท้ มันเอาออกมาหมดแล้ว” แม่ทา(จิต) รับรู้เช่นนั้นก็บอกกิเลสมาร “ตาย กูก็ยอมตาย ถ้ากูโง่ ถ้ากูไม่โง่ ระวังพวกมึงไว้ให้ดี ถ้ากูโง่กูไม่เสียดายหรอก นี่มึงว่าอะไร?” แม่ทาถามกิเลส “ถ้ากูรู้กูจะบอกมึงเอามาให้ดูหรือ” กิเลสตอบ จิตแม่ทาก็พูดด้วยหัวใจห้าวหาญต่อพวกกิเลสจิตมารว่า “ถ้ามึงไม่รู้แล้วไป อยู่นี่กูต้องเอาประกอบกูได้หมดล่ะ เพราะว่ากูเป็นผู้เอาออกมา” แล้วพวกกิเลสจิตมารมันก็คุยกันว่า “จ้างก็ประกอบเอาเข้าไปไม่ได้หรอก มันต้องตายแท้” กิเลสจิตมารก็ยั่วยุหมายจะหลอกให้แม่ทา (จิต) เกิดความหวั่นกลัวตาย แล้วจะได้หยุดการพิจารณาร่างกาย แม่ทาก็บอกว่า “กูไม่ตาย กูไม่โง่เหมือนพวกแกหรอก” แม่ทาก็ร้องท้าทายพวกกิเลสมารว่า “เอ้าถึงเวลาแล้วดูให้ชัดๆ นะ กูจะเอามาประกอบของกู ระวังพวกมึงไว้ให้ดี คราวนี้กูจะบีบคอมึงคอยดูซิ” กิเลสจิตมารก็พูดจากัน “ถ้ามันเอาออกมาอย่างนี้มันต้องตายเน้อ” กิเลสมารก็กระซิบกระซาบคุยกัน จิตแม่ทาก็รับรู้แล้วได้ไปจับอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายนั้นที่ติดกันเป็นพวงยกขึ้นแล้วบอกพวกกิเลสจิตมารว่า “นี่มึงว่าหวานหมูหรือ มึงว่ามึงจะได้ทางมึงหรือ คอยดูให้ดีเด้อ” ว่าแล้วแม่ทาก็ชูอวัยวะต่าง ยกขึ้นแล้วพิจารณาเพ่งดูอวัยวะต่างๆ อย่างแจ่มชัด แล้วใช้มือประคองอวัยวะต่างๆไว้ให้อยู่ในสภาพปกติ พิจารณาเพ่งดูอวัยวะต่างๆ ว่าอยู่อย่างไร? เรียงต่อกันอย่างไร? อะไรอยู่ส่วนไหนแล้วก็ค่อยวางอวัยวะ วางอวัยวะต่างๆเข้าไปในร่างกายอย่างช้าๆ จนเสร็จเรียบร้อยแล้วร้องบอกกิเลสมารว่า “นี่” ปรากกฎว่าพวกกิเลสจิตมารนั้นก็พากันเดินหนีไป เห็นแต่หลังไวๆ แม่ทาตะโกนเรียกให้มาก็ไม่ยอมมา “มึงมาเถอะน่า กูทำไมโมโหแท้ กูจะเอาพวกมึงให้ละเอียดเลย” แล้วเสียงกิเลสจิตมารมันก็ออกไปยืนคุยกันไกลๆ จิตแม่ทาที่มีสติรู้อยู่กับผู้รู้ก็ได้ยินเสียงพวกมันคุยกันว่า “พรุ่งนี้เราไปโกหก (ทำให้มันหลงในร่างกายตน) มันอีกนะ ไปยั่วมันอีกนะ ให้มันจนมันว่าไม่เหลือ ให้เอามันมาจนเป็นพวกเดียวกันกับพวกเราเลยแล้วค่อยไปหามันใหม่” จิตแม่ทาก็คึกคะนอง “มา”หลังจากที่ได้พิจารณาด้วยการมีสติจนมีการแยกแยะรู้จักตัวกิเลสของจิตมารได้ จิตแม่ทาก็สงบอยู่กับสติ พอเวลาผ่านไปได้ 2-3 คืนจนเข้าสู่คืนที่ 4 การบำเพ็ญภาวนาเจริญสติควบคุมจิตของแม่ทาก็ได้มีพวกกิเลสมารเข้ามาเพื่อที่จะก่อกวนให้จิตแม้ของแม่ทาไม่สงบ หวาดกลัวละคลายจากความเพียรคลายสติออกจากผู้รู้ที่เฝ้าระวังจิตแท้ของตน ขณะที่แม่ทาภาวนาพิจารณาดูจิตตนอยู่นั้น พวกกิเลสจิตมารก็มาแสดงตนปรากฏเป็นรูปร่างกายคล้ายแม่ทา มาปรากฏในนิมิต พวกมันพากันมายืนเท้าเอวทำปากส่งเสียง “ฮึ นั่งก็นั่งหาสะแตกอะไร” จิตแม่ทาก็เฉยนิ่งไม่สนใจ พวกจิตกิเลสมารก็พูดยั่ว “ทำท่าไม่ได้ยินล่ะสิ กูพูดอยู่นี้ไม่ได้ยินสิท่า” แม่ทาก็นิ่งเฉย กิเลสมารไม่ละความพยายาม ได้มาพูดกวนใจให้แม่ทารำคาญ “ถ้าว่ามึงดีกูอยากจะดูกระดูกมึงน่ะ เอามันออกมาให้หมดซิ” แม่ทา (จิต) ก็ร้องบอก “ทำไมมันถึงมาบังคับกูอย่างนี้ ก็ก็ไม่กลัวมันเหมือนกัน ก็จะเอามันหมดทุกอย่าง” แล้วถามไปว่า “มึงชอบส่วนใด จะเอาออกให้หมดเลย มึงทำไมบอกกูได้แท้น้อ กูก็จะทำตามมึงหมดน่ะ แต่ว่ามึงจะทำได้เหมือนกูไหม” กิเลสจิตมารพูดอวดตัว “ทำได้แต่ว่ากูไม่ทำให้มึงเห็น” แม่ทาก็ตอบกิเลสมารว่า “มา กูไม่ยอมที่จะเสียดุลมึง กูต้องเอาออกได้ มึงจะให้กูเอาส่วนไหนออกก่อน” กิเลสจิตมารก็ร้องท้าทาย “เอาออกหมดเลย ตรงข้อแขน ข้อขาน่ะ” ขณะนั้นแม่ทาก็พิจารณาตามสติปัญญาด้วยตนเองเนื่องจากไม่มีครูบาอาจารย์ อ่านหนังสือไม่ได้เขียนไม่ออก ความรู้ด้านธรรมปัญญาก็ยังไม่แจ้งประจักษ์ แต่ก็ได้เพียงอาศัยขันติ วิริยะในจิตใจที่อาจหาญไม่เกรงกลัวใดๆ จะตายก็ขอให้จิตเป็นหนึ่งอยู่กับ พุท-โธ ให้ได้ก็ถามตนว่า “โอ้ มันใช่อะไรหนอ” กิเลสมารก็ร้องบอก “กูก็คือเพื่อนมึงนั่นแหละ” แม่ทาก็ถาม “เพื่อนอะไรหนอ” กิเลสก็ตอบว่า “กูก็คือเพื่อนก็เพื่อนนี่แหละ” กิเลสจิตมารยังได้พูดข่มขู่ใส่แม่ทาหมายจะทำให้เกิดความกลัว กิเลสนี้เองที่มันคอยเข้าครอบครองหัวใจสัตว์โลกไม่ให้เกิดปัญญาไม่ให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม กิเลสนี้ตัวความยึดมั่นถือมั่นในกายตัวกายตนถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา ไม่รู้จักทุกขัง อนิจจัง อนัตตา จิตไม่แจ้งประจักษ์ในไตรลักษณ์ญาณ จิตแม่ทาก็รำพึงในจิต “เอาก่อนน้า เราจะปลดมันตรงนี้ออกล่ะ” ว่าแล้วจิตแม่ทาก็ได้กำหนดดูในกรรมฐาน 5 คือ พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พิจารณาก็ปรากฏว่าสิ่งเหล่านี้ก็หลุดออกมาลงพื้นจนหมด แม่ทาใช้จิตพิจารณาดูก็เห็นเป็นครั้งแรกก็ไม่ได้หวั่นไหว ไม่ตกใจ จิตไม่ถอนไม่หวั่นต่อสิ่งที่ได้ประจักษ์ในกายตน แต่คำว่าหวั่นไหวกลัวของจิตก็มีเป็นธรรมดาของปุถุชนที่ยังมีความรัก ความอาลัยต่อสังขารร่างกายตน จิตแม่ทาเองจะบอกว่าไม่หวั่นไหวก็ไม่เชิง แต่หวั่นเพียงนิดเท่าเพียงเมล็ดข้าวเท่านั้น สติก็ได้ระลึกได้ “ช่างมัน ตา (นัยน์ตา) กูไม่อยากดูก็ได้เห็น” จิตของแม่ทานั้นก็อยู่ตรงกลางของกรรมฐาน 5 ที่หลุดร่วงออกจากร่างกายลงไปกองอยู่กับพื้น จิต จะมีความรู้สึกคล้ายดั่งตัวเองเป็นต้นไม้ ต้นไม้นั้นก็มียาง มีเปลือกไม้หลุดร่วงออกจากต้น จิตของแม่ทาก็ได้พิจารณาเห็นอวัยวะภายนอก (กรรมฐาน 5) หลุดออกจากร่างกาย เนื้อหนังที่หลุดร่วงออกจากกายกองอยู่บนพื้นก็สั่นระริกๆจิตแม่ทาเห็นเนื้อหนังตัวเองเป็นเนื้ออ่อนๆ เต้นระริกๆ จึงได้เอามือไปจับดูก็มีความรู้สึกว่าอ่อนนุ่มคล้ายยางไม้ คล้ายยางของต้นงิ้ว แล้วก็พิจารณาเพ่งดูโครงกระดูกของตนเห็นเป็นแต่โครงกระดูกนั่งอยู่ แล้วก็เกิดรู้ขึ้นมาว่า “โอ กระดูกมันเป็นอย่างนี้หรือนี่” แม่ทาก็เพ่งดูร่างกายตน กิเลสมันก็มายืนดู “มึงต้องตายแท้ มึงต้องตายแท้” กิเลสมัน มาพูดขู่ให้จิตแม่ทาหวั่นไหว แล้วแม่ทาก็มาจับกระดูกดูบริเวณข้อต่อ ก็เห็นว่ากระดูกบริเวณส่วนหัวเข่าที่ต่อกันเป็นกระดูกอ่อน บริเวณข้อแขนเป็นกระดูกอ่อนประกบกันค้ำไว้ กระดูกบริเวณสะโพกเอวก็เป็นคล้ายลักษณะเพิงหินยกขึ้นลงไปซ้อนกันเป็นชั้นๆ แม่ทาก็พิจารณาดูกระดูกในร่างกายของตนก็รู้แจ่มชัดรู้อยู่ในลักษณะอย่างไร กิเลสจิตมารก็มาพูดแหย่ว่า “โอ้ มึงทำไมเอาออกได้อย่างนี้ ตายแท้ๆนะ” แต่แม่ทาก็ไม่สนใจในตัวของพวกกิเลส ผู้รู้ก็ตอบบอกจิตแม่ทาให้ทราบ “มองดูให้ชัดๆพิจารณามากๆ” จิตแม่ทาก็รู้ตามเป็นจริง “โอ้มันก็เป็นอย่างนี้หรือ” จิตเห็นร่างกายตนจะรังเกียจก็ไม่รังเกียจแล้ว ก็เพ่งพิจารณาดูอยู่อย่างนั้น แล้วจิตแม่ทาก็ได้มาเพ่งดูกรรมฐาน ผม ขน เล็บ หนังที่หลุดออกจากร่างกายกองอยู่กับพื้น พิจารณาเพ่งดูตามความเป็นจริงของสังขารร่างกาย ก็ได้เห็นว่าเนื้อหนังส่วนต่างๆ ได้แปรสภาพเป็นเมล็ดข้าวสาร ส่วนโครงกระดูกร่างกายก็ยังทรงโครงกระดูกอย่างนั้น ก็เห็นแต่เส้นเอ็นในกระดูกไม่มีเลือด (เหมือนอย่างที่เราเห็นเขาลอกเนื้อไก่ออกจนเป็นโครงกระดูก) แม่ทาก็จับดูโครงกระดูกแล้วก็มาจับดูบริเวณส่วนเนื้อหนังที่กองอยู่กับพื้นที่กลายสภาพเป็นเมล็ดข้าวสารเต็มไปหมด แล้วแม่ทาก็พิจารณาว่า “โอ้ ทำไมมึงคือเป็นเมล็ดข้าวสารหมด ทำไมเป็นอย่างนี้หนอ ?” จากนั้นแม่ทาก็พิจารณาดูเมล็ดข้าวสารก็เห็นว่าเมล็ดข้าวสารนั้นค่อยๆ แปรสภาพเป็นข้าวปลายที่ละเอียดๆ คล้ายถูกบด จิตแม่ทาเห็นดังนั้น “ฮ่วยเมล็ดข้าวสารทำไมกลายเป็นข้าวปลาย” ก็เพ่งพิจารณาดูต่อไปหลังจากนั้นข้าวปลายก็ค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นแกลบแก่ๆ จิตกายทิพย์ที่เห็นสภาพเนื้อหนังของตนกลายสภาพเป็นแกลบก็ถามว่า “ฮ่วยทำไมมีแกลบ โอ้มันเป็นอย่างนี้หรือ” แม่ทาก็เพ่งดูต่อไปก็เห็นว่าแกลบแก่ๆ ก็ค่อยๆ แปรสภาพเป็นรำอ่อนๆอีก เมื่อเห็นดังนั้น สัญญาจิตก็นึกถึงคำของผู้เฒ่าผู้แก่ว่า “รำอ่อนนี้มันอร่อย” จิตก็คิดจะไปเอารำอ่อนมากำดู แล้วจิตก็รู้ตัว “โอ้ กูก็เคยเห็นเป็นรำอ่อนๆ แล้วก็ได้ยินเสียง (ผู้รู้) ตอบมาว่า “รู้จักไหม ? ดูให้มันชัดๆ ดูคักๆ ถูกเขาลวงเขาต้มตุ๋นโกหกจริงหรือไม่จริง”แม่ทาก็แปลกใจ “โอ้ย ! เสียงอะไรหนอที่ได้ยิน” เสียงผู้รู้ก็บอกต่อไป “ถูกเขาต้มหลอกลวงหรือไม่ ดูให้มันชัดๆ ดูให้มากๆ (พิจารณาด้วยปัญญา) หลุด (เนื้อหนัง) ออกมันเป็นอะไร? มันเป็นอะไร? พิจารณษดีให้มันแตกฉาน ถ้างั้นตายเผานะ? จิตแม่ทาก็ตอบ “ทำไมว่าอย่างนั้นหนอ” จิตแม่ทาก็ได้รู้จักคำว่า ปัญญาอย่างแท้จริงใจสัจธรรมว่าทุกสิ่งภายใต้กฎไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นก็ย่อมสลายดับไปเป็นธรรมดา จิตแม่ทาก็รู้ว่า “โอ้ สมมติว่าของพวกนี้เน่าเปื่อยสลายไป ถ้ามันดับขันธ์ไปพวกนี้ก็เป็นกระดูกนะนี่” ผู้รู้ก็ตอบ “เอ้อ” กิเลสจิตมารก็ได้เข้ามาหาแม่ทาอีก “มึงยังไม่แล้วหนี้กูน่ะ มึงเอาออกดูแค่นี้เอง” จิตแม่ทาตอบว่า “โอ๊ย กูก็ไม่กลัวมึงเท่าใดหรอกกูก็พิจารณษดูเฉยๆ หรอก กูก็ไม่ได้เอาไป (ยึดมั่นถือมั่น) อะไรหรอก” กิเลสจิตมารที่แสดงตัวรูปร่างคล้ายแม่ทาก็มาบังคับให้แม่ทาทำลายกาย พวกมันพูดว่า “มึงต้องตายนะมึงตายแท้” จิตแม่ทาก็ตอบพวกมันไปว่า “กูไม่กลัวมึงเหมือนกันล่ะเว้ย” พอว่าอย่างนั้นจิตแม่ทาก็ได้มาจับกระดูกแล้วดึงออกมาจากร่างกาย พวกกิเลสเห็นแม่ทาทำได้อย่างนั้นจริงๆ “โอ้ มึงเอาออกได้จริงๆ เว้ย” พวกกิเลสมารนั่นก็เริ่มแสดงอาการหวาดหวั่นต่อจิตแม่ทา แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ “มันเอาออกหมดแล้วคราวก่อนนั้นเราบอกให้มันเอาตับไตออกมาดู เราก็ดูของมันแล้ว คราวนี้มันเอาออกหมดแล้ว ถ้ามันตายจริงๆ จะทำอย่างไร?” พวกกิเลสมารคุยกัน “มันก็มาเป็นเพื่อนเราล่ะสิ มึงจะไปกลัวทำไม เราหกคนมันคนเดียว” จิตแม่ทาก็มิได้สนใจใยดีกับเสียงกิเลสจิตมาร แม่ทาจึงบอกกับตัวเอง “กูเอาออกได้กูก็ต้องเอาเข้าได้ล่ะ” กิเลสจิตมารมันก็คุยกันว่า “ถ้ามันเอาเข้าได้ล่ะ” กิเลสพวกเดียวกันก็ตอบว่า “ก็ฆ่ามันทิ้งเลย” แล้วมันก็มาบอกแม่ทาว่า “เอาอย่างนี้ซะ ก็มาอยู่รอวันรอคืนกันนานแล้ว เอาเข้าดูซิ ยังไงมึงต้องมาเป็นเพื่อนกับกูต่อไปอีก” แล้วกิเลสจิตมารก็ได้ใช้มือมาคนกองกระดูกส่วนต่างๆ ที่กองอยู่ของแม่ทาให้ปะปนกันแล้วมันร้องบอกแม่ทา “ถ้ามึงเอาเข้าไม่ได้ระวังมึงให้ดี มึงต้องมาเป็นเพื่อนกูเดี๋ยวนี้” จิตแม่ทาจึงมาพิจารณา แขนนี้มันต้องคว่ำลงถึงจะเอาเข้าได้ แขนนี้เป็นแขนซ้ายท่อนบน ส่วนอีกแขนต้องเป็นแขนขวาท่อนบน ถ้าต่อแขนท่อนบนเข้าบริเวณหัวไหล่ไล่ต่อเข้าข้างเดียวมันจะเอียง ถ้าจะต่อข้างเดียวไม่ได้การแน่ จิตผู้รู้ก็ผุดตอบว่า “ให้ใส่ทีละข้างก่อนเด้อ” แม่ทาก็ค่อยๆพิจารณาดูแขนท่อนบนทั้งสองนำมาเทียบกันดู ถ้าเท่ากันก็แสดงว่าเป็นส่วนเหมือนกัน แต่เป็นคนละด้านก็ดูว่าอันไหนด้ายซ้ายด้านขวา แล้วก็นำมาต่อเข้ากับช่วงรอยต่อบริเวณหัวไหล่แล้วแกว่งดูเพื่อจะให้แน่ว่าเข้ากันได้ไหม พวกกิเลสจิตมารก็เฝ้าดูแม่ทาต่อโครงกระดูกตนเอง แล้วแม่ทาก็เอาแขนต่อกันใส่ไป ปรากฏใจว่าไม่เข้าเพราะมันมีส่วนที่ค้ำกันอยู่ ถ้าเข้ากันสนิทมันจะล็อคกันแน่น แต่ก็ปรากฏว่าไม่เข้า ก็พยายามหมุนให้เข้ากับข้อต่อ จนในที่สุดแขนก็ต่อเข้ากับบริเวณหัวไหล่ได้ แล้วจึงนำท่อนแขนส่วนล่างต่อเข้ากับบริเวณข้อศอกซึ่งมันจะเป็นง่ามสามง่าม เมื่อต่อเสร็จแล้วทั้ง 2 ด้านก็มาต่อกระดูกช่วงขาซึ่งเป็นส่วนที่ยาก เพราะมีกระดูกส่วนกลางขา (หัวเข่า,ลูกสะบ้า) กั้น ต้องต่อกระดูกขาเข้าในส่วนบริเวณนี้แล้วกระดูกส่วนนั้นต้องไม่งับลง เพราะเอาออกมาไม่หมด เหลืออยู่ตัวหนึ่ง ถ้าเป็นรถจะเรียกว่าบังโคลน แม่ทาก็พยายามสวมหัวเข่าท่อนขาจนสามารถนำมาประกอบเข้าล็อคได้ตามปกติทั้งสองด้าน เมื่อประกอบกระดูกทุกส่วนเข้ากันดังเดิมแล้ว ทันใดนั้นส่วนที่เป็นเนื้อหนังก็ปรากฏขึ้นมาที่โครงกระดูกอย่างอัตโนมัติ เมื่อพวกกิเลสจิตมารมองเห็นว่าแม่ทาทำได้ดังนี้มันจึงค่อยๆ พากันเดินโบกมือลาจากไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเวิ้งน้ำ


เสียงประหลาดของผู้เฒ่า !?!?


เสียงประหลาดของผู้เฒ่า !?!?


เมื่อการเพียรฝึกสติรักษาจิตอยู่กับพุท-โธของแม่ทาเข้าสู่ปีที่ 6 ที่บ้านเรือน ต่อมาก็ได้ยินเสียงคล้ายคนกระแอมไอเย็นยะเยือกอยู่ข้างๆ หู แม่ทาก็นึก “โอ้ขึ้นมาแล้วก็ส่งเสียงมาก่อน ไม่ใช่เสียงอะไร? เราไม่สนหรอก” ต่อมาแม่ทาก็ได้ยินเสียงไม้เท้าย่ำต๊อกๆๆ แล้วส่งเสียงมากระทบกับโสตทวารในขณะที่แม่ทานั่งภาวนาพุท-โธ “โอ้ ขอพักขอหยุดซักคืนจะได้บ่หนอ ?” แม่ทาก็ตอบว่า “พักหยุดอะไรก็ช่างเถอะที่อยู่ที่พักหาเอาเอง เพราะหาให้ไม่ได้ไม่มีเวลาว่างหรอก” แม่ทาก็ได้ยินเสียงตอบกลับมา “มองดูให้คักๆแน ก่อนจะพูดอะไร มันรุ่นพ่อหรือรุ่นลูก” แม่ทาก็ร้องตอบ “รุ่นอะไรก็แล้วแต่ ถ้าคนดีไม่หันมาหรอก ยังนี้หรอกเวลาเขาทำอะไร เขาทำอย่างไรอยู่จะมาอยู่ใกล้เขาทำไมถ้ารู้จักทำอย่างไรก็ไม่พูดด้วยหรอกรีบหนี” แล้วเสียงเย็นเยือกนั้นก็ตอบมาว่า “ถ้าไม่พูดด้วยก็จะไปหรอก” สักพักเสียงไม้เท้าก็ดังต๊อกๆ แต๊กๆ จากไป นับตั้งแต่ฝึกบำเพ็ญสติรู้อยู่กับพุท-โธได้ย่างเข้าปีที่ 6 แม่ทาก็มักจะได้ยินเสียงคล้ายผู้เฒ่า เสียงเย็นเยือกมากระทบกับโสตประสาทเป็นประจำ แต่ก็ยังไม่ทราบว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร ? เพราะมีแต่เสียงปรากฏออกมาไม่เคยเป็นรูปกายสักที แล้วเสียงประหลาดของผู้เฒ่าผู้นี้เป็นใครกัน มีความสำคัญต่อชีวิตต่อจิตใจของแม่ทาอย่างไร?

นิมิตจิตมารมาหลอกให้ขาดสมาธิ


นิมิตจิตมารมาหลอกให้ขาดสมาธิ

แม่ทาเพียรฝึกสติอยู่อย่างตั้งใจก็ได้ปรากฏนิมิตเห็นรูปร่างของตนอีกร่างหนึ่งเข้ามาหาก็นึกในใจ “เอ้ ! ไม่ใช่เราเป็นปอบหรือ โอ ! จะเป็นอะไรก็ช่างขอให้เราสบายใจอยู่กับ พุท-โธก็พอ” แม่ทาเริ่มเห็นสิ่งต่างๆ เช่นนี้ก็ไม่รู้จะพูดให้ใครฟังได้ กลัวถูกเขากล่าวหาว่าเป็นบ้าเป็นประสาท แต่สติของแม่ทายังตั้งมั่น เป็นอะไรก็ช่างเราจะฝึกอยู่อย่างนี้อยู่กับพุท-โธ นั่งภาวนาไปบริกรรมพุท-โธไป จิตสงบก็ได้เกิดนิมิตรูปกายของแม่ทา (จิตมาร) เดินเข้ามาหาแม่ทา “เฮ้ย ! จะไปนั่งให้มันอดหลับอดนอนทำไม นอนคือพวกเรานี่ พวกเรานอนแล้วนะ” พอสิ้นเสียงดังรับทราบ มารก็แสดงนิมิตหลอกให้คลายจากการฝึกสติจับพุท-โธ จิตแม่ทาก็ได้มองเห็นกายตนมานอนให้ดู จิตของแม่ทาก็นึกว่า “เป็นอะไร มันทำไมมาเรียกเราไปนอน เราไม่นอน” นิมิตรูปกาย (จิตมาร) เห็นแม่ทาพูดเช่นนั้นก็ร้องบอก “โอ้ มึงไม่นอนแล้วมึงจะได้อะไร ? มึงจะได้ไปนิพพานอยู่หรือ จ้างซะเท่าขี้มึงไม่ได้ไป กูจะดึมังนอนอยู่นี่แหละ” จิตแม่ทาที่มีสติก็ร้องบอก “ทำอย่างไรกูไม่นอนแน่” ขณะที่แม่ทานั่งบริกรรมพุท-โธอยู่นั้นก็ได้มีนิมิตต่อมาปรากฏเป็นช้างตัวใหญ่วิ่งตุ๊บตั๊บเข้ามาแล้วก็ง้างเท้ายกขึ้นจะเหยียบร่างแม่ทา แม่ทาก็ร้องบอก “เออ ! ถ้ามึงจะเหยียบก็เหยียบเลยเหลือไว้แต่จมูก” ช้างตัวใหญ่ที่ปรากฏในนิมิตท้าทาย “โอ้มึงเก่งน้ออีนี่” จิตแม่ทาก็บอกว่า “ก็ไม่เก่งปานใด ถ้าจะเหยียบกันก็เหยียบไปหมดซะ แต่เหลือไว้แต่จมูกก็พอได้ไว้หายใจ แต่ถ้ามึงถูกจมูกกูมึงระวังโลด” จิตของแม่ทาในขณะนั้นก็ยังหวั่นกลัวอยู่ก็พูดขู่ช้างไป ช้างตัวใหญ่นั้นมันก็ค่อยๆ ถอยออกไป ร้องบอกแม่ทาว่า “กูทำอะไรไม่ได้เลยกับมึง” นิมิตที่จิตแม่ทาเจอช้างใหญ่ก็หายไป จากนั้นก็ปรากฏนิมิตเป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเป็นรูปกาย (จิตมาร) ของแม่ทา ได้พากันเดินเข้ามาหาแม่ทา (จิต) ในนิมิตเดินเข้ามาแต่หัวเข่าแม่ทา “มึงได้ยินไหม ? กูเรียก บ้านเขาเก็บเห็ดได้ กูมาชวนไปเก็บเห็ดนะนี่” จิตแม่ทาก็ตอบพวกมาร “ไม่ไปหรอก ไม่อยากไป” ร่างนิมิตมารร้องบอกแม่ทา “ไปต้องไปเก็บเห็ดกับกู ไปด้วยกัน” จิตแม่ทาเห็นนิมิตนั้นมองดูก็มี 4 คน รูปร่างของคนกลุ่มนั้นก็มองเห็นคล้ายตัวเองทั้งหมด ก็นึกในใจว่า “มันเป็นอะไร เขาทำไมมีรูปร่างเหมือนเราแม้” แล้วร้องบอกออกไปว่า “โอ้ย เราไม่ไปหรอก เราเหนื่อย เราจะนั่ง (ภาวนาพุท-โธ) มั่นอยู่นี่แหละ” กิเลสมารมันพากันพูดว่า “มันชนะเราจริงๆนะ ไปเราไป” ร่างกายนิมิตที่เกิดจากกิเลสจิตมารก็หายไป แม่ทาก็ยังคงนั่งภาวนาอยู่กับพุท-โธอยู่อย่างนั้นต่อมา ภาพกิเลสก็พากันมาปรากฏเข้ามานั่งข้างๆ แม่ทาพากันมานั่งอย่างเป็นระเบียบแล้วกราบพับลงข้างๆ แล้วก็บอกว่า “ขอเถอะ ขอหน่อยทำอย่างไร ถึงทำได้ขนาดนี้ ขออนุญาตทำอย่างนี้มาได้นานขนาดไหนแล้ว” จิตแม่ทาก็บอกว่า “นานขนาดไหนกูก็ไม่พูดกับมึงดี ไม่อยากพูดกับมึง” กิเลสจิตมาร “โอ้ อย่าคร้านเถอะ ข้าน้อยก็อยากรู้ อยากปฏิบัติแท้ๆ อยากปฏิบัติจริงๆ มันบ่อได้จริง มึงพูดได้แต่คือมึงแม้อีอันนี้” จิตแม่ทาตอบว่า “ว่าอะไรก็ไม่สน ไม่ได้ยินซะด้วย” แม่ทามุ่งมั่นเพียงอย่างเดียวคือฝึกสติรู้ให้ยิ่งกว่านี้จึงตำหนิกิเลสจิตมารที่มาปรากฏคอยหลอกให้จิตหลงไปว่า “พวกสูนี้ขี้โกหกตอแหลพูดอยู่ทุ่งได้ยินอยู่บ้าน” กิเลสมารก็แย้ง “ฮือ ไม่ได้ไปหัวเราะอยู่ทุ่งซะที มีแต่อยู่เรือน” จิตแม่ทาก็ได้ตอบกิเลสออกไปว่า “อยู่เรือนกูก็รังเกียจพวกเจ้า ไม่ยอมพูดด้วยหรอก” ว่าแล้วแม่ทาก็หันหน้าหนี กิเลสมารที่แสดงในรูปกายนิมิตก็หันตามมาพูดด้วย “เออท่านว่าจะหนีได้ ท่านว่าท่านจะนั่งได้” แม่ทาก็ร้องบอกว่า “ไม่เราไม่อยากพูดกับพวกเจ้าหรอก ร่ำไรไปๆ พวกเจ้าจะไปไหนก็รีบไป ถ้าไม่รีบไปจะเหยียบพวกเจ้าให้ไส้แตกเดี๋ยวนี้แหละ” นิมิตนั้นก็หายไป แม่ทาฝึกจิตของตนให้สติอยู่กับพุท-โธในช่วงเวลา 5-6 ปี ก็ต้องยิ่งระวังกิเลสที่จะเข้ามากระทบจิต สติระมัดระวังยิ่งกว่าในช่วงเวลา 3-4 ปี เฝ้าดูสติอยู่กับพุท-โธ อย่างเดียว เพื่อให้จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ (จิตมีอารมณ์เดียว) ด้วยถ้าหากขาดสติก็จะหลงไปกับสิ่งเหล่านี้หลงลืมจิตออกนอกกาย แม่ทาก็สามารถรักษาสติคอยระวังจิตไว้ตลอด สติรู้ตัวตลอดเผลอไม่ได้ บ้างกิเลสจิตมารก็จะมาปรากฏแสดงตนบอกยั่วยุต่างๆ “มึงเก่ง ให้มึงนั่งตายอยู่นี้ซะ” จิตแม่ทาก็ตอบว่า “ไม่ได้เก่ง แต่ว่ากูขี้เกียจไป (จิตส่งออกนอกกายที่มีสติกับพุท-โธ) พวกเจ้ามีทางไปก็ไปเลย ไม่ต้องมาชวนกูอีกต่อไปนี้” จิตกิเลสมารต่างๆ ก็ค่อยๆ หายไปบ้างก็มาพูดจาเยาะเย้ยเพื่อให้จิตแท้ของแม่ทาหลงกับกิเลส “ถ้ามึงเก่งให้มึงเหาะซะเด้อ ถ้ามึงดีให้มึงตายกับพุท-โธซะ”

นิมิตเป็นอย่างไร ? ในทางสมาธิ





นิมิตเป็นอย่างไร ? ในทางสมาธิ




คำว่านิมิตในด้านจิตตภาวนานั้นประกอบด้วยอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตนั้นเมื่อนักภาวนาเจริญภาวนาไปจนจิตสงบบ้างจะเห็นเป็นรูปบุคคลภายนอกเดินมาหรือผ่านมาให้เห็น อาจเป็นบุคคลที่ตายไปแล้วก็มีหรืออาจปรากฏเป็นครูบาอาจารย์รูปใดรูปหนึ่งผ่านมามากบ้างน้อยบ้าง บ้างก็เดินมาหาเราขณะเจริญภาวนาบ้าง ก็ปรากฏเห็นเป็นรูปภูเขา ห้องแถว โบสถ์ วิหาร ปฏิภาคนิมิต คือการปรากฏนิมิตภาพบุคคลวัตถุต่างๆ มานั่ง มาลอยอยู่ ลอยอยู่เฉพาะหน้าหรือตายลงเฉพาะหน้า เราจะกำหนดให้ภาพนั้นไกลออกไปก็ได้ กำหนดให้ภาพนั้นสิ่งของนั้นใกล้เข้ามาก็ได้ เพ่งให้ร่างกายเน่าเปื่อยเหลือแต่โครงกระดูกก็ได้ นึกต่อไปว่ารูปนี้จะเจ็บจะมีตายหรือไม่ ? นึกในใจว่าเขาตายรูปก็แสดงความตายลงไป เมื่อนึกในใจว่ารูปนี้จะเน่าเปื่อยไหม ? รูปนั้นก็จะเกิดความเน่าเปื่อยปรากฏให้เห็นขยายให้ใหญ่ให้เล็กก็ได้ตามต้องการ กำหนดให้เห็นอยู่ไกลๆ หรือใกล้ๆ บ้างก็ได้ บ้างก็ปรากฏเป็นรูปร่างที่น่ากลัวก็ให้ตั้งสติรู้เท่าทัน บางครั้งแลบลิ้นปลิ้นตา นั่นมิใช่เปรตมิใช่ผีเป็นเพียงสังขาร สัญญาของเราปรุงแต่งไปเอง เป็นสังขารภายนอกหลอกจิตใจตน มิใช่ของจริงของจังอะไร สักแต่ว่าเป็นรูปที่เห็นให้พิจารณารู้ว่าเป็นของไม่จริง เหมือนเราดูภาพยนตร์เมื่อมีนิมิตเกิดขึ้นให้ตั้งสติเกิดขึ้นให้ตั้งสติระลึกรู้แล้วให้วางเฉย กำหนดพิจารณารู้ว่านิมิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง เกิดจากสัญญาสังขารปรุงแต่งขึ้น ถ้าเห็นเป็นภาพสวยงามหรือน่าเกลียดน่ากลัวก็อย่ายินดียินร้ายเพียงแต่มีสติให้มั่นส่วนอสุภนิมิตนี้สำคัญเป็นสิ่งมีคุณค่าแก่นักภาวนา บางคนเกิดเห็นได้ง่ายพอจิตรวมลงไปก็เห็นร่างกายของตน (เรา) เป็นศพเน่าเปื่อยลงหมด ร่างกายเนื้อหนังเส้นเอ็นอวัยวะทั้งหลายผุพังสลายลงหมดเหลือแต่กระดูกนั่งอยู่ จากนั้นก็พิจารณาส่วนต่างๆ ของร่างกายสมาธิจะก้าวหน้า อสุภนิมิตนี้เป็นสักการบูชาของพระอริยเจ้า....ครั้นจะถามถึงว่านิมิตภาวนากับการนอนหลับฝันต่างกันอย่างไร? ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต กล่าวว่านิมิตในภาวนามันชัดเมื่อจิตค่อยหรี่รวมลงมารู้สึก อยู่รู้อยู่เฉพาะใจ รวมเข้ามารู้สึกเบาเนื้อเบากาย เบาไปหมด แล้วพอจิตรู้ลงไปบางทีก็เกิดนิมิตพร้อมแสงสว่างพร้อม บางทีคลับคล้ายเหมือนจะหลับแล้วเกิดสว่างขึ้นเห็นรูปร่างต่างๆ แต่สติ(ความรู้สึกตน)มั่นอยู่ นิมิตสมาธิมีสติแต่ภาพที่เห็นเมื่อนอนหลับฝันไม่มีสติ นิมิตในสมาธิมีจิตสำนึกในสมาธิ...อสุภนิมิต หมายความเอาที่พิจารณาเห็นร่างกายของเราเน่าเปื่อยเป็นซากศพหรือเห็นร่างกระดูกหมดทั้งตัวหรือเห็นแต่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเน่าเปื่อย สภาพตามความเป็นจริงของสังขารร่างกายไม่ว่าจะเป็นเราเป็นเขาเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ ที่สุดแห่งร่างกายจะย่อมเป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นเช่นนี้จึงนับได้ว่าเป็นการเจริญสติวิปัสสนากรรมฐาน จิตรู้จิตเห็นด้วยปัญญาแห่งความเป็นจริง จิตย่อมเบื่อหน่ายคลายความหลงในรูปร่างเรารูปร่างเขา การเพียรจะอยู่ในอิริยาบถใดเดินจงกรมนั่งภาวนา ยืนภาวนา นอนภาวนา ทุกอิริยาบถให้มีสติรู้กับผู้รู้คือรู้ในองค์ภาวนา ในกรรมฐาน 40 อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมากสายปฏิบัตินิยมใช้สติอยู่กับองค์ภาวนา พุท-โธ อยู่ทุกอิริยาบถ พุทโธเป็นพุทธานุสสติการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การบำเพ็ญสติเอาชนะสังขารไม่ให้นึกให้คิดมุ่งแต่ความสงบอันเดียว เอาความสงบเป็นพื้นฐาน บางทีจิตมันไม่ยอมสงบมันรู้อยู่เฉพาะหน้าไม่ลงถึงใจ วิธีแก้ก็ให้กำหนดสติตามลมหายใจเข้าสู่ภายในกายให้ผู้รู้ไประหว่างจมูกกับลำคอว่าอยู่อย่างไรแล้วจึงกำหนดจิตสติตามรู้ไปในอวัยวะส่วนต่างๆ ยังภายในร่างกาย บางครั้งจิตไม่ลงจริงๆ รู้อยู่เฉพาะหน้า สติ(จิต) มีกำลังบ้างแล้วให้กำหนดเอาน้ำมันก๊าด น้ำมันเชื้อเพลิงราดให้เปียกชุ่มในเสื้อผ้าทั่วร่างกาย (กำหนดจิต) จุดไฟเผา เมื่อได้นิมิตเห็นไฟลุกพรึบขึ้นร่างกายก็ไหม้ การเดินจิตต่อไปให้พิจารณาตลอดตั้งแต่เท้ายันศีรษะโดยอนุโลมปฏิโลมทั้งหน้าทั้งหลัง อันนี้จะเป็นอสุภสัญญา ใช้สัญญาบางทีจิตก็สงบเป็นสมาธิจิตได้บ้างก็พิจารณาลอกเนื้อหนังให้พิจารณารู้ตามจริงมิใช่คาดคะเนให้พิจารณาเห็นเนื้อเลือดไหลแดงทั่วตัว พิจารณาเส้นเอ็นกำหนดจิตอันเป็นการท้าทายต่อ อำนาจกิเลสที่ได้ครอบครองหัวใจสัตว์โลก ให้ถูกครอบงำด้วยโมหะ ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลงมาเป็นเวลาช้านาน ความวุ่นวายสับสนปัญหาต่างๆ สารพัดเกิดมาจากที่ใด ก็เพราะความหลงในรูปในสัมผัสมีทิฐิมานะถือตัวถือตน นี่ก็ของกูนั่นก็ของกู สิ่งต่างๆในโลกนี้ต้องนำมาบำรุงบำเรอใส่กายโดยที่ไม่รู้จักอิ่มจักพอเป็นการพิจารณาธาตุขันธ์ร่างกายให้กำหนดจิตให้ควักเอาลูกตาออกมาพิจารณาดูอวัยวะต่างๆ ในร่างกายแล้วกระชากมันออกมา ดูซิมันจะเอากิเลสใดมาถือตนถือตัวหรือไม่ หากไม่กล้าก็แสดงว่าจิตยังมีกำลังอ่อนต่อกรก็ยังแพ้กิเลสอยู่นั่นเอง กำหนดให้รู้ดูให้เห็นตามสภาวะความเป็นจริง เราติดสักกายทิฐิคือยังติดยังหลงอยู่ในร่างกายของตน ทำอย่างนี้เป็นการพิจารณากำหนดให้รู้ว่ากายให้รู้ว่าสังขารร่างกายเราตายแตกดับปราศจากวิญญาณที่ครอบงำ ให้มีสติรู้กับผู้รู้จิตจะลอยเด่น พิจารณาให้รู้เห็นกำหนดดูให้เขาเอาไม้มาทำโลงใส่แล้วนำไปเผาไฟให้กำหนดดูให้เขาเอาไม้มาทำโลงใส่แล้วนำไปเผาไฟให้กำหนดดูว่าไฟที่ไหม้นั้นไหม่อย่างไร? ไหม้แขนขา ลำตัว ศีรษะ ดวงตามันแตกออกมาอย่างไร บางส่วนไม่ไหม้เขาก็เอาไม้แหย่ไปใส่เลือดพุ่งทะลักออก ผลสุดท้ายก็ถูกไฟไหม้จนหมดร่างกาย คงเหลือแต่เถ้าถ่านและอัฐิธาตุ กำหนดให้มีฝนตกใหญ่ๆ ลงชะลงมาให้รู้เห็นกระดูกสีขาว พระท่านก็ไปบังสุกุลล้างกระดูกเอาใส่ที่บรรจุเช่นผ้า ไม่นานวันผ้าที่ห่อกระดูกที่ทรุดสลายลงดิน ดินมันก็ทับถมไปกลบกระดูกที่เป็นเถ้าถ่าน มันก็กลายเป็นมีต้นไม้เถาวัลย์หญ้าเป็นป่าดงเหมือนเดิม ร่างกายของคนทุกคนมันไม่มีสาระแก่นสาร ธาตุดินมันก็เป็นธาตุดินอยู่อย่างนั้น ธาตุน้ำก็กลายเป็นน้ำไป ธาตุลมก็กลายเป็นลม ธาตุไฟก็กลายเป็นไฟในโลก พิจารณาในปัญญาให้รู้เห็นร่างกายของคนเราไม่ได้สาระแก่นสารใดๆ เลย จิตรู้จิตเห็นจิตคลายจิตละจากธาตุขันธ์ ร่างกายตัดขาดด้วยปัญญาในการสังหารกิเลสละความยึดมั่นถือมั่นในกายเหมือนบุคคลบ้วนน้ำลายลงพื้นแล้วฉันใด จิตนั้นก็ย่อมไม่แสวงที่จะเก็บน้ำลายนั้นนำมาดื่มกินฉันนั้น ปัญญาพิจารณารู้เห็นความเป็นจริง จิตไม่มีความสงสัยในคุณพระพุทธศาสนา จิตดวงนั้นที่อยู่ในกาย มีศีลตามวิสัยเพศตนสมบูรณ์ละความยึดมั่นในกายตน ละสักกายทิฐิ ตัดโทสะขาดจากจิต ความเป็นพระอริยบุคคล พระอริยสงฆ์ก็บังเกิดขึ้น อริยบุคคล พระโสดาบัน ย่อมบังเกิดประจักษ์แจ้งในใจของผู้นั้น ต่อไปจิตจะได้พิจารณาในการลดละในด้านกามคุณ โมหะ(ความหลงในภพในชาติ) เมื่อจิตยังมีกามราคะ จิตนั้นใจนั้นก็ย่อมมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ละกามราคะ ทำลายโมหะขาดสะบั้นจากจิตใจผู้ใด คุณธรรมพระอรหันต์อยู่มิไกล...สำหรับดวงจิตนั้น