ธรรมมะ ย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จิตตานุภาพ : ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต




จิตตานุภาพ
ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส

จิตตานุภาพ คืออานุภาพของจิต แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ

• จิตตานุภาพบังคับตนเอง
• จิตตานุภาพบังคับผู้อื่น
• จิตตานุภาพบังคับเคราะห์กรรม
จิตตานุภาพ บังคับตนเอง

“ ตนของตนย่อมเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง ”

เหตุนี้จึงต้องหัดบังคับตนเอง
ผู้อื่นถึงจะเป็นศัตรูก็ไม่เท่าตนเป็นศัตรูต่อตนของตนเอง
ถ้ายังไม่สามารถบังคับตนของตนเองให้ดีได้แล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าจะบังคับผู้อื่นให้ดีได้

จิตตานุภาพบังคับตน เองมี ๗ ประการ

บังคับความหลับและความตื่น

การหัดนอนให้หลับสนิทเป็นกำลังสำคัญยิ่งนัก เหตุที่ทำให้นอนไม่หลับมี ๒ ประการ คือ

๑.๑ ร่างกายไม่สบายพอ

อาหารที่ย่อยยากก็เป็นเหตุให้ร่างกายไม่สบายพอ ควรนอนตะแคงข้างขวา
ถ้านอนหงายก็ควรให้เอียงขวานิดหน่อย
ถ้าต้องการพลิกก็ควรพลิกจากขวานิดหน่อย แล้วกลับตะแคงขวาตามเดิม
นอนย่อมให้อวัยวะทุกส่วนพักผ่อน อย่าให้เกร็งตึงและไม่ควรตะแคงซ้าย
๑.๒ ความคิดฟุ้งซ่าน

เวลานอนถ้าจิตฟุ้งซ่าน ควรคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่อย่างเดียว
ครั้นแล้วก็เลิกละไม่คิดสิ่งนั้น และไม่คิดอะไรอื่นต่อไปอีก
กระทำใจให้หมดจดเหมือนน้ำที่ใสสะอาด
ควรบังคับตัวให้ตื่นตรงตามเวลาที่ต้องการ
ก่อนนอนต้องคิดให้แน่แน่ว สั่งตนเองให้ตื่นเวลาเท่านั้น
เมื่อถึงเวลาก็จะตื่นได้เองตามความประสงค์

• ทำความคิดให้ปลอดโปร่ง ว่องไว ในเวลาตื่นขึ้น อย่าให้เซื่องซึม "ต้องเอาความ คิดในเวลาตื่นเช้า ไปประสานติดต่อกับความคิด ที่เราทิ้งไว้เมื่อวันวานก่อนที่จะนอนหลับ ”

ก่อนนอนควรจดบันทึกกิจการที่เราจะต้องทำในวันรุ่งขึ้นนั้นไว้ในกระดาษแผ่น หนึ่งเสมอ
พอตื่นขึ้นมาก็หยิบดูเพื่อปลุกความคิดให้ตื่น

• เปลี่ยนความคิดได้ตามต้องการ

คือเมื่อต้องการคิดอย่างใดก็ให้คิดได้อย่างนั้น
ทิ้งความคิดอื่น ๆ หมด และเมื่อไม่ต้องการคิดอีกต่อไป
จะคิดเรื่องอื่นก็ให้เปลี่ยนได้ทันที และทิ้งเรื่องเก่าโดยไม่เอาเข้ามาพัวพัน
คือทำใจให้เป็นสมาธิอยู่ที่กิจเฉพาะหน้า
การเปลี่ยนความคิดเป็นเหตุให้ห้องสมองมีเวลาพักชั่วคราว
ทำให้สมองมีกำลังแข็งแรงขึ้น
สงบใจได้แม้เมื่อตกอยู่ในอันตราย หรือประสบทุกข์

อย่าให้เสียใจหมดสติสะดุ้ง ดิ้นรนจนสิ้นปัญญาแก้ไข
เกิดความท้อถอยไม่ทำอะไรต่อไป
ความสงบไม่ตื่นเต้นเป็นเหตุให้เกิดปัญญาประกอบกิจให้สำเร็จได้สมหวัง
เราจะแก้ไขเหตุร้ายที่เกิดขึ้นแก่เราได้นั้นก็มีทางจะทำอยู่ ๒ ขั้น

๔.๑ ต้องสงบใจมิให้ตื่นเต้น ๔.๒ ต้องมีความมานะพยายาม วิธีสงบใจที่ดีที่สุด หายใจยาวและลึก

• เปลี่ยนนิสัยความเคยชินของตัวจากร้ายเข้ามาหาดี
การขืนใจตัวเองชั่วขณะหนึ่งอาจเป็นผลดีแก่ตัวเองตลอดชีวิต
แต่การทำตามใจตัวขณะเดียวก็อาจเป็นผลถึงการทำลายชีวิตของเราได้เหมือนกัน

• ตรวจตราตัวของตัวเป็นครั้งคราวโดยสม่ำเสมอ
ให้ทราบว่ากำลังใจมั่นคงขึ้นหรือไม่
ฝ่ายกุศลเจริญขึ้นหรือไม่ ฝ่ายอกุศลลดน้อยเบาบางหมดสิ้นไปหรือไม่
ใจยังสะดุ้งดิ้นรนหวั่นไหวอยู่หรือไม่

• ป้องกันรักษาตัวด้วยจิตตานุภาพ
การสะดุ้งตกใจหรือเสียใจ ความกลัว เป็นเหตุให้เกิดโรคและโรคกำเริบ
และเป็นเหตุให้คนดี ๆ ตายได้ คนไข้ถ้าใจดีหายเร็ว
ความไม่กลัวตายรอดอันตรายได้มากกว่ากลัวตาย
ความพยายามและอดทนเป็นเหตุให้สำเร็จสมประสงค์
จิตตานุภาพบังคับผู้อื่น

จิตตานุภาพอย่างอ่อน
สามารถใช้สายตา น้ำเสียงและด้วยกระแสจิตประกอบคำพูด
ซึ่งจะเป็นเครื่องจูงใจคนให้เชื่อฟัง
ลักษณะไม่หวาดหวั่นครั่นคร้ามต่อใคร ๆ นั้น
ไม่ใช่ชีวิตหัวดื้อบึกบึนซึ่งไม่นับว่าเป็นจิตตานุภาพ
ต้องเป็นคนสุภาพสงบเสงี่ยม เคารพนบนอบต่อบุคคลที่ควรเคารพ

แต่ทว่าหัวใจของคนชนิดนั้นไม่หวาดหวั่นเกรงกลัวใคร
และสามารถแสดงให้เห็นว่าตัวเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่ในโลก
และเป็นมนุษย์ที่รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักทำ
คนที่สามารถเป็นนายตนเอง ไม่ตกเป็นทาสของหัวใจคนอื่น
และสามารถดึงดูดหัวใจคนเข้ามาเชื่อฟังเกรงกลัวนั้น
ถ้าสังเกตให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่ามีลักษณะ ๔ ประการ
• สายตาแข็ง มีอำนาจในตัว • เสียงชัดแจ่มใส • ท่าทางสงบเสงี่ยมและเป็นสง่า • รู้จักวิธีชักจูงหัวใจคนให้หันมาเข้าในคลองความคิดของตัว

พยายามอ่านหนังสือหน้าหนึ่งโดยไม่กะพริบตาเลยทำให้สายตาแข็งได้
อ่านหนังสืออย่างช้า ๆ ให้ชัดถ้อยคำทุก ๆ ตัว
และให้ได้ระยะเสมอกันทำให้เสียงชัดแจ่มใส

เวลาพูด พยายามพูดให้เป็นจังหวะอย่าให้ช้าบ้างเร็วบ้างและให้ชัดถ้อยคำเสมอ
ไม่ให้อ้อมแอ้มหรือกลืนคำเสียครึ่งหนึ่ง เป็นการฝึกหัดให้เสียงชัดเจนแจ่มใส

บุคคลที่มีสง่า คือคนที่บังคับร่างกายให้อยู่ในอำนาจหัวใจได้เสมอ
มีท่าทางสงบเสงี่ยมเป็นสง่าไม่แสดงอาการโกรธ เกลียด
กลัว รัก ขมขื่น ตกใจ สะดุ้ง เศร้าโศก ให้ปรากฏ
ไม่ทำอิริยาบถเคลื่อนไหวอันใดโดยไม่จำเป็น
และโดยบอกความกำกับของใจ

มีหน้าตาแจ่มใส อิริยาบถสงบเสงี่ยมเป็นสง่าอยู่ทุกขณะ
การเคลื่อนไหวทุกอย่างทำด้วยความหนักแน่นมั่นคง
อย่าให้รวดเร็วจนเป็นการหลุกหลิก
หรือผึ่งผายจนเป็นการเย่อหยิ่ง หรืออ่อนเปียกจนเป็นการเกียจคร้าน
ในเวลายืนให้น้ำหนักตัวถ่วงอยู่ทั่วตัวเสมอ ไม่ให้ถ่วงแต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง
รู้จักใช้วิธีชักจูงหัวใจคนให้หันเข้ามาในคลองความคิดของเรา

• หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดมีสิ่งที่จะชักจูงให้เขาละทิ้งข้อแนะนำของเรา • จูงใจเขาให้หันเข้ามาในทางที่เราต้องการทุกที
วิธีป้องกันตัวไม่ให้จิตตานุภาพของผู้อื่น บังคับเราได้
ให้ทำมโนคติให้เห็นประหนึ่งว่า
กระแสดวงจิตของเราแผ่ซ่านป้องกันอยู่รอบตัวเรา
จิตตานุภาพของผู้อื่นไม่สามารถจะเข้าถึงตัวเราได้

ให้ทำเวลาเข้านอนครั้งหนึ่ง
และขณะที่อยู่ใกล้บุคคลที่เราระแวงว่าเขาจะใช้จิตตานุภาพบังคับเรา

จิตตานุภาพบังคับเคราะห์กรรม

เครื่องมือที่จะชักนำเอาเคราะห์ดีเข้ามา คือ
ความพยายามเข้มแข็งไม่ท้อถอยหนักแน่นระมัดระวัง
เชื่อแน่ในความพากเพียรบากบั่นของตัว
มักจะเป็นคนเคราะห์ดีอยู่เสมอ และมีคุณสมบัติอย่างอื่นอีกคือ

ความมุ่งหมายและอย่าให้นึกถึงเคราะห์ร้าย

ตั้งความมุ่งหมายถึงผลอันใดในชีวิตไว้เท่านั้น
เพื่อให้ก้าวหน้ามุ่งตรงไปจนบรรลุสมประสงค์

ความมุ่งหมายจำต้องให้สูงไว้เสมอ เพื่อจะได้มีความพยายามอย่างสูงด้วย

แต่การก้าวไปสู่ที่มุ่งหมายนั้น ต้องก้าวอย่างระมัดระวังไม่ก้าวให้ผิด
“ ควรมีความปรารถนาให้สูงอยู่เสมอ แต่จะต้องระมัดระวังมิให้เดินพลาด ” การไม่ยอมแพ้เคราะห์ร้าย เป็นเหตุให้เคราะห์ร้ายพ่ายแพ้เองเมื่อประสบเคราะห์ • จะต้องไม่ให้ใจเสีย เชื่อมั่นในความรู้ความสามารถของตัว รวบรวมกำลังให้พรั่งพร้อม • ตั้งความมุ่งหมายให้ดีและตกลงแน่ว่าจะมุ่งไปทางไหน • ใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้น กุมสติให้มั่น

อย่างไรก็ดี จะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
ทำการต่อสู้ดัง กล่าวแล้วนั้นไม่ได้เป็นอันขาด

การ ต่อสู้กับเคราะห์

• จะต้องสงบใจ ไม่ตื่นเต้น ไว้ใจตัวและเชื่อแน่ว่า
เรามีจิตตานุภาพเป็นเครื่องมือรวมกำลังสติปัญญาของเราให้พรั่งพร้อม
เช่นเดียวกับนายเรือที่ไม่รู้จักเสียใจ รวบรวมกำลังเรือและกำลังคนให้บริบูรณ์

• ต้องยึดที่หมายให้แน่น กล่าวคือระลึกถึงผลที่เราต้องการบรรลุนั้นให้แน่วแน่ยิ่งขึ้น
เปรียบเสมือนนายเรือที่ตั้งเข็มทิศให้ตรง
และให้รู้แน่ว่าจะต้องการให้เรือบ่ายเบี่ยงไปทางไหน

• ใช้ความระมัดระวังให้มากยิ่งกว่าเมื่อก่อนจะเกิดเหตุร้ายอีกหลายเท่า
และความวินิจฉัยที่ถูกต้อง ทำทางปฏิบัติของเราเหมือนอย่างหางเสือเรือ
ที่จะช่วยให้เรือบ่ายเบี่ยงไปทางทิศที่ต้องการจะไป

• ไม่สามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้ก็อย่าถอยหลัง ให้หยุดอยู่กับที่

• ให้รู้สึกว่าเคราะห์นั้นทำให้เราดีขึ้น
เป็นครูของเรา เป็นผู้เตือนเรา เป็นผู้ลวงใจเรา
อย่าเห็นว่าเคราะห์กรรมเป็นของเลว ไม่น่าปรารถนา
ควรคิดว่าเป็นของดีที่ทำให้เราเข้มแข็งมั่นคงขึ้น

ให้รู้สึก เสมอว่าเราเกิดมาเรียนทั้งเคราะห์ร้ายและเคราะห์ดี
เคราะห์เป็น บทเรียนของเรา ที่จะทำให้เราแจ้งโลกแล้วจะได้พ้นโลก
ดังนี้ จะไม่รู้จักเคราะห์ร้ายเลยในชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น: