ธรรมมะ ย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"คุณแม่พิมพา" ชีใจสิงห์รัตตัญญูแห่งหินหมากเป้ง"


คุณแม่ชีพิมพามิใช่แม่ชีธรรมดา หากแต่เป็นแม่ชีอรหันต์

ความนี้เป็นที่รู้กันในหมู่วงในพระกัมมัฏฐาน

เรื่องราวของท่านอาจจะไม่ปรากฏเลยหาก หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ผู้เป็นพระอาจารย์ของท่านมิสั่งให้คุณแม่ได้เขียนประวัติตัวเองขึ้นไว้ หนังสือเล่มนี้หลวงปู่เทสก์เป็นผู้เขียนคำนำให้เอง

เนื้อหาบางตอนระบุว่า ชีพิมพาเป็นผู้หญิงใจสิงห์คนหนึ่ง ออกปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างยอมสละชีวิต ไม่แพ้ชายอกสามศอก ได้ต่อสู้กับโจรปล้นฆ่าคนมา 2 ครั้ง เสือ งูใหญ่ อย่างละครั้ง ผีนับครั้งไม่ถ้วน โดยไม่มีอาวุธอะไรนอกจากบารมีและอธิษฐานเป็นอาวุธ แต่ก็ได้ชัยชนะอย่างน่าทึ่ง

คุณแม่ชีพิมพา
หลวงปู่เทสก์สรุปประวัติคุณแม่ชีพิมพาไว้อย่างรวบรัดว่า พ่อแม่ของชีพิมพาอพยพมาจาก จ.ปราจีนบุรี ให้กำเนิดลูกสาวคนนี้ที่บ้านหนองกอง ต.หนองกอง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย เมื่อปี พ.ศ. 2455 แม่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเด็ก พออายุ 20 ปี ก็แต่งงานกับคนในหมู่บ้านเดียวกัน และเป็นการเลือกคู่ชีวิตที่แปลก คือมีคนรวยมาสู่ขอไปเป็นภรรยาหลายคน แต่ท่านไม่เลือก มาเลือกเอาคนไม่เที่ยวไม่กิน อยู่กินกันมาได้ 12 ปี มีบุตร 1 คน ซึ่งเกิดมาได้ 4 เดือนก็ตาย

เมื่อลูกตายยิ่งทำให้เห็นทุกข์ จึงชักชวนสามีออกบวช เมื่อตกลงกันได้ยกสิ่งของที่นาให้ญาติทั้งหมดแล้วก็แยกย้ายกันไปบวช บวชแล้วก็มีอุปสรรคมากแต่ก็ปฏิบัติจนเจริญก้าวหน้าในทางธรรมมาตามลำดับ แม้ว่าไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะไม่รู้หนังสือ รู้แต่ว่าดีเท่านั้น พอมาอยู่วัดหินหมากเป้ง เมื่อปี พ.ศ. 2518 จึงค่อยรู้เรื่องรู้ราว ว่า อะไรเป็นอะไร จนมีความสามารถอาจหาญเขียนประวัติและข้อธรรมนั้นๆ ได้

“แม่ชีทั้งหลายควรเอาเป็นแบบอย่าง” หลวงปู่เทสก์ สรุปความสุดท้ายไว้อย่างหมดจด

ลึกลงในรายละเอียดในภาคส่วนขยายที่คุณแม่ชีพิมพาท่านได้เขียนไว้นั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าทึ่งและควรน้อมมาเป็นอุทาหรณ์อย่างยิ่ง

มิต้องเอ่ยถึงการดิ้นรนต่อสู้ชีวิตในฐานะลูกกำพร้า ว่า จะยากลำบากขนาดไหน เมื่อโตเป็นสาวมีผู้มีฐานะมาสู่ขอไปเป็นสะใภ้หลายคน แต่ท่านก็มิตอบรับคนเหล่านั้นทั้งๆ ที่ญาติมิตรล้วนแต่มองว่านั่นคือโอกาสพลิกชีวิตได้อยู่บนกองเงินกองทอง เหตุที่มิได้ตอบตกลงเพราะท่านใช้ตาพิเศษเลือกคู่ มิใช่ตาธรรมดา

ขณะนั้นคุณแม่ชีพิมพาไม่ได้มีทิพยเนตรอะไรเลย แต่ท่านมีปัญญากล่าวคือ เมื่อมีเศรษฐีผู้หนึ่งมาสู่ขอท่านไปเป็นสะใภ้ ท่านก็อยากรู้ว่า ตระกูลที่จะไปอยู่ร่วมนั้นเป็นอย่างไร อาหารการกิน การทำทานนั้นวิเศษสักเพียงไร วันหนึ่งก็แอบสะกดรอยว่าที่แม่สามีไปตลาด สิ่งที่พบเห็นกับตาคือ

“เห็นเขาไปที่ร้านขายเนื้อ หยิบของเศษๆ ที่เขาทิ้งแล้วใส่ตะกร้า ต่อจากนั้นไปร้านขายหมู ขายปลาตามลำดับ ทำเช่นเดียวกัน ได้ของเต็มตะกร้าโดยไม่เสียเงินเลยสักสตางค์เดียว ดิฉันตัดสินใจในขณะนั้นทันทีว่า ไม่เอาแล้วคนรวยอย่างนี้ ลูกชายคงตระหนี่ถี่เหนียวแน่นเหมือนแม่ ถ้าเราซื้อของดีๆ มากินหรือทำบุญทำทาน เขาคงชี้หน้าด่าว่า อีขี้ทุกข์ มึงใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างนี้จึงทุกข์ยาก”

ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเลือกเอานายขิ้ม วงศาอุดม คนหนุ่มผิวคล้ำ ต่ำเตี้ยมาเป็นสามีเพราะสังเกตพบว่า ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนอารมณ์ดี น้ำใจดี เป็นคนรักษาศีลภาวนาทุกวัน พ่อแม่ก็เป็นคนมีศีลธรรมประจำใจ แม้ว่าจะยากจนแต่ก็เชื่อว่า จะมีความสุข

สามีภรรยาคู่นี้ต่อสู้ชีวิตมาด้วยความมุมานะ จากกระต๊อบหลังเล็กๆ เสาไม้ไผ่หลังคามุงจาก หาปูหาปลาทำปลาร้า ค้าข้าวเปลือกในที่สุดก็สร้างบ้านเรือนอันสวยงามได้ อยู่กินกันมา 10 ปีไม่มีลูกได้แต่เข้าวัดจำศีลทุกวันพระ ตัวท่านเองสุขภาพมิค่อยดีนักผู้เฒ่าผู้แก่จึงแนะนำให้มีลูกเพราะเชื่อว่า ถ้าได้ขับเลือดร้ายออกมาแล้วสุขภาพจะดีขึ้น ท่านเลยแต่งขันธ์ 5 ไปอธิษฐานขอลูกแต่คำอธิษฐานของท่านนั้นบ่งชัดว่า ยึดมั่นในทางธรรมและฉายแววความเป็นนางสิงห์โดยแท้

กล่าวคือ “ขอให้ข้าพเจ้ามีลูกและพร้อมกันนั้นก็ขอให้ลูกตายตั้งแต่ยังเล็กเพราะลูกจะเป็นเหตุขัดขวางการไปวัด”

และแล้วท่านก็ได้ลูกจริงๆ ขณะตนเองอายุ 31 ปี และเมื่อมีบุตรแล้ว พอลูกร้องสามีซึ่งรักลูกมากและไม่เคยพูดจาหยาบคายกับท่านกลับทนไม่ได้เมื่อลูกร้องไห้ ร้องเมื่อไหร่สามีก็จะบ่นว่าหยาบๆ คายๆ มึงๆ กูๆ ซึ่งท่านว่าฟังแล้วเสียดแทงหัวใจนัก เพราะอยู่ด้วยกันมา 10 กว่าปีไม่เคยพูดคำหยาบช้าใส่กันเลย ไม่ใช่แค่นั้นยังทำท่าหน้าบึ้งใส่กันอีก เลยคิดว่า ลูกจะเป็นเหตุให้แตกสามัคคีกัน ตั้งคำถามกับตัวเองว่าลูกจะพาไปสวรรค์นิพพานได้หรือ จึงบอกลูกขณะให้นมอยู่ว่า

“ลูกจ๋า ตายนะ ตายเสีย อยู่อย่าใหญ่เลย แม่จะไปจำศีลภาวนา แม่ไม่ได้ไปวัดมา 4 เดือนแล้ว ลูกรีบตายไวๆ นะ ลูกดูเหมือนจะรู้ความ มองหน้าแล้วยิ้ม ไม่นานอายุลูกได้ 4 เดือนเศษก็ตาย”

แม้จะอธิษฐานให้ลูกตาย แต่ใช่ว่า ท่านเป็นแม่ใจยักษ์เพราะท่านว่า พ่อแม่นั้นรักลูกไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า ความรักสามียังเปลี่ยนแปลงได้ เบื่อหน่ายก็ทอดทิ้งกัน เมื่อท้องก็อดเปรี้ยวหวานเค็มเพราะกลัวโทษจะเกิดแก่ตนและลูก ฉะนั้นบุญคุณของพ่อแม่นั้นจึงอักโขนัก

สองปีถัดมาท่านขอให้สามีไปแต่งงานใหม่เพราะตัวเองจะออกบวช สามีฟังแล้วเอาแต่ร้องไห้ก่อนบอกว่า “ชาตินี้ไม่ขอใจเป็นสอง”
ทำความเข้าใจกันอยู่ 3 วัน สามีถึงตัดใจออกบวชด้วย บางถ้อยคำนั้นมีว่า

“คนหนุ่มคาอะไร ข้องอะไร ข้องผู้หญิงข้องผู้ชายหรือ สิ้นลมแล้วผู้หญิงผู้ชายมีที่ไหนมีแต่สิ่งปฏิกูลโสโครก กำหนัดยินดีอะไรกับรูปผู้หญิง คิดดูเวลามีลมหายใจรักกันกอดกัน สมมติว่าผู้หญิงผู้ชาย สิ้นลมแล้วมีแต่สิ่งสกปรกบูดเน่า ไม่น่ารักน่าชม ความตายมันบอกไหมว่ามันจะมาถึงเราเมื่อไหร่ ดูแต่อาทำนายังไม่เสร็จ ลูกยังไม่ทันโต

ตอนกลางวันกินข้าวกันอยู่ที่นาเป็นอหิวาต์ ตอนเย็นตายเอาฟากห่อไปฝัง ยังไม่ทันได้กลับบ้าน มีบ้านตั้ง 2 หลัง 3 หลังยังไม่ได้นอน ตายก่อน เราเองก็เหมือนกัน พูดกันอยู่นี่ดีๆ เดี๋ยวนี้ กลับไปนอนอาเจียน 2-3 ครั้งก็เอาฟากห่อไปฝังเสียแล้ว จะรอให้แก่ทำไม น้องกลัวจะตายเสียก่อนไม่ทันได้บวช เพราะคนหนุ่มก็ตายคนแก่ก็ตายไม่มองดูหรือ ตายตั้งแต่อยู่ในท้องก็มี ถ้าพี่ตายก่อน น้องจะอยู่กับใคร ไม่มีแผ่นดินจะอยู่แล้ว ไปนะไปบวชด้วยกัน”

พอสามีปลงใจ ท่านก็อธิษฐานอีกหนว่าอย่าให้สามีเปลี่ยนใจ

แม้ต่างบวชแล้วแต่สายใยรักก็ใช่ว่าจะตัดขาดเสียทันที ท่านว่า ตอนเป็นฆราวาสเจ็บป่วยก็ดูแลกันแต่สองคนญาติพี่น้องไม่ได้มาดูแล พอบวชแล้วสามีป่วยก็ปลงใจว่า สามีกินอาหารได้แค่ไหน ตัวเองก็จะกินเท่านั้นเหมือนกัน ถ้าตายก็ให้ตายไปด้วยกัน พอสามีเสียชีวิตท่านเองก็กลั้นใจกะให้ตายตามกันไปแต่กลั้นไม่ไหวหายใจคืนกลับมาก็มีเสียงหัวเราะให้ได้ยินว่า คิดอย่างนี้มีแต่เจ้าคนเดียว ชาติไหนภาษาไหนจะตายด้วยกัน ใส่โลงเดียวกัน ไม่มีเลย มีแต่เจ้าคนเดียว

พอพิจารณาไปว่า เวลาคนตายธาตุอะไรออกก่อน ไฟหรือลม ก็พบว่า ลมออกก่อน

พอไล่ทวนดูว่า คนเรารักกันที่ไหนเพราะสุดท้ายร่างกายก็เปื่อยเน่าได้ความจาก “ผู้หนึ่ง” ตอบขึ้นว่า มันเป็นเพราะจิตหลงต่างหาก...” พอรู้ว่าความรักเป็นอาการของจิต คิดได้เช่นนั้น “ตาแตกปั้ง”

“ความรักเลยสิ้นลงตรงนั้น ในขณะตาแตก จิตสว่างจ้า จิตของเราเลยหายห่วงไปเลยในขณะนั้น ถึงจะไปตายที่ไหนก็ไม่ห่วงแล้ว เราก็รู้ว่าเราหลงแล้วมันก็ปล่อยวาง ไม่เป็นห่วงเลย...”

แล้วการพิจารณาสังขารก็ดำเนินไป กะโหลกศีรษะ มือ เท้าหาย เหลือแต่กระดูกขาท่อนเดียว พอมดมาแทะก็สลายเหลือแต่ดิน

สิ้นจากรักที่ผูกพัน รุ่งขึ้นจิตก็มีแต่ปีติเบิกบาน เบากาย เบาใจ

อย่างที่หลวงปู่เทสก์ว่า คุณแม่ชีพิมพาท่านไม่ได้รู้อะไร หนังสือก็ไม่รู้ รู้แต่ดี ไม่ดี รู้จิตรู้ใจตัวเอง ท่านต่อสู้กับความยากลำบากในการปฏิบัติธรรมมาโดยมิย่อท้อ เมื่อถึงคราวขับขันอับจนก็อาศัยเครื่องมือเดียวคือ การอธิษฐานเป็นเครื่องมือนำผ่านพ้นภยันตรายต่างๆ มาได้

เรื่องหนึ่งซึ่งน่าอัศจรรย์ใจมากคือ ในพรรษาที่ 11 ขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าพระสถิตย์ จ.หนองคาย กับเพื่อนแม่ชีอีก 2 รูป ไม่มีพระ ไม่มีผ้าขาวแม้แต่รูปเดียว วันหนึ่งโจรร้ายชื่อ เสือสง่าก็โผล่มากบดานอยู่ที่ป่าช้า ความร้ายกาจของโจรปล้นข่มขืนฆ่าผู้นี้ทำให้บรรดาแม่ชีทั้งหลายตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างสุดขีด พอทำวัตรเสร็จรีบเข้ากุฏิ อยู่เงียบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะจุดเทียน สุดท้ายเมื่อกลัวมากไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่เอาหนามเล็บเหยี่ยวมากั้นเป็นรั้วรักษาตัวเอาไว้ สุดท้ายท่านตั้งสัจจะอธิษฐานว่า

“ถ้าข้าพเจ้าจะมีบุญอยู่ในเพศนักบวชชี ขอคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดร มารดา ครูบาอาจารย์ คุณศีลธรรมให้ดลบันดาลจิตครูบาอาจารย์ จะหูหนวกตาบอดก็ช่าง จะเป็นสามเณรหรือชีปะขาวก็ได้ แต่ขอให้เป็นเพศพรหมจรรย์ด้วยกัน ให้มาในสถานที่นี้ภายใน 3-7 วันจะนับถือเป็นครูบาอาจารย์ ถ้าเลยไปจากนี้ ไม่มีใครมา ข้าพเจ้าจะสึกเพราะไม่มีบุญเสียแล้ว”

หลังอธิษฐานได้เพียง 3 วัน ปรากฏว่ามีพระถึง 20 รูปเดินทางมาถึงวัดป่าพระสถิตย์ในวันเดียวและแทบจะเป็นชั่วโมงเดียวกันด้วยซ้ำ แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ต่างรูปต่างมาโดยไม่ได้นัดหมายกันเลย

ครูบาอาจารย์ที่ท่านเอ่ยนามไว้ในบันทึกก็มี “พระอาจารย์สุวัจน์ อาจารย์วัน อาจารย์สม อาจารย์สิงห์ทอง อาจารย์ประยูร อาจารย์เพ็ญ หลวงพ่อแวง หลวงพ่อลา พระอาจารย์คำมุ่ย ฯลฯ”

พระอาจารย์สุวัจน์ รูปนี้ก็คือ พระอาจารย์สุวัจ สุวัจโจ

พระอาจารย์วันก็คือ พระอาจารย์วัน อุตตโม

อาจารย์สิงห์ทองก็คือ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร นั่นเอง

ครูบาอาจารย์เหล่านี้เล่าให้ท่านฟังว่า สวดมนต์ไหว้พระเสร็จ รู้สึกคิดถึงคุณแม่มาก คิดว่าอาจจะเจ็บป่วยหรือคงจะเป็นอะไรสักอย่าง อยู่ไม่ได้มันร้อนใจเลยรีบมา ข้างพระอาจารย์สุวัจน์ก็ว่า สงสัยจะเป็นเพราะคำอธิษฐานของคุณแม่กระมัง

คุณแม่ชีพิมพาเป็นศิษย์ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายรูป รวมทั้งหลวงปู่เทสก์ เมื่อหลวงปู่เทสก์กลับจากเผยแผ่ธรรมะที่ภาคใต้ คืนสู่อีสาน ท่านได้มาพำนักที่วัดหินหมากเป้งและได้อาศัยหลวงปู่เทสก์ชี้แนะเรื่อยมา

คุณแม่ชีพิมพาท่านเป็นรัตตัญญู คือ เป็นผู้รู้ราตรีนาน เจริญทั้งวัยและเจริญทั้งธรรม

เมื่อมีพ่อแม่ครูอาจารย์ไปวัดหินหมากเป้งท่านทั้งหลายเหล่านั้นมักจะได้แวะสนทนากับคุณแม่พิมพาอยู่เสมอ และคุณแม่ก็มีความเคารพในพระสงฆ์อย่างยิ่ง แม้จะเฒ่าชราแล้ว ครูอาจารย์จะขอให้นั่งตามสะดวกกับสังขารแต่ท่านก็ไม่ยอม พยายามนั่งในที่เหมาะสมไม่เทียบชั้นครูบาอาจารย์

ว่ากันว่า เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินก็เคยมีรับสั่งถามกับท่านว่า “เขาว่าคุณแม่เป็นอรหันต์หรือ ?” ท่านก็ไม่ตอบได้แต่ยิ้มๆ

คุณแม่ชีพิมพาเคยกล่าวไว้ว่า บาปหรือบุญล้วนขึ้นอยู่กับกายวาจาใจของเราทั้งสิ้น ถ้าสังเกตจิตใจของตนเองว่า จะไปทางบุญหรือทางบาป ก็รู้อยู่ที่จิตดวงเดียวนี้หละ ขอให้มีสติตรวจดูจิตของเราเองก็แล้วกัน ให้เราสอนจิตของตนเองถึงจะรู้ทั้งเหตุและผลของตนเองหมดทุกอย่าง ถ้าจิตรู้แจ้งเห็นจริงถึงเหตุและผลของตนเองหมดทุกอย่าง ตามปัญญาเห็นชอบมาแล้วนั้นมันก็ปล่อยวางลงไปตามสภาพเดิมของธรรมชาติ

ธรรมดาที่มีอยู่ประจำคือ เมื่อเกิดแล้ว ตั้งอยู่ไม่นานก็ดับลงไปอีก มีแต่เรื่องทุกข์ จึงเรียกได้ว่า สัพเพสังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สัพเพธัมมา อนัตตาติ ไม่มีอะไรหยุดปรุง หยุดแต่งก็มีสติ สัมปชัญญะ เป็นผู้รู้ปล่อยวางไปได้หมด เพราะปัญญานั้นได้กำลังของสมาธิคือ ความสงบของจิต ตามขั้นตอนก็จะเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ตามแต่มันเป็นพลังของจิตให้ก้าวหน้าขึ้นไปได้ ไม่ต้องฝากเป็นฝากตายอะไรทั้งนั้นเลย เป็นผู้เชื่อกรรมเชื่อผลของกรรมได้อย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญมากขึ้น...

“...ให้เราใช้ปัญญาของเรา ให้มันตัดสินใจของเรา ให้มันลงไปให้มันถึงพระไตรลักษณ์ให้หมดทุกอย่าง แล้วมันก็จะรู้ว่าเราอยู่ในหน้าที่ของมันก็มีแต่ของไม่เที่ยงทั้งหมด แล้วเราก็หลงเข้าไปยึดถือเอาไว้ทั้งหมด มันก็มีแต่เรื่องถูกทั้งหมด แล้วมันก็เป็นผู้รู้ถึงเหตุและผล แล้วก็ปล่อยวางไปได้อย่างแท้จริง แล้วก็หยุดปรุงหยุดแต่งไปตามเรื่องโลกอีกแล้วก็เรียกว่า เป็นผู้รู้แท้เห็นจริง แล้วก็ปล่อยวางไปได้อย่างแท้จริง ก็ไม่มีอะไรจะมาทำให้เราหลงอยู่ในของไม่เที่ยงอันนี้อีกแล้ว”

วางรัก วางหลง แล้วใช้สติ ปัญญาตัดตรงเข้าสัจจะเยี่ยงคนใจสิงห์ คุณแม่ชีพิมพาจึงจากไปอย่างผู้ปล่อยวางได้อย่างแท้จริงในที่สุด